Friday, May 25, 2012

ข้อดีของการเติมลมยางด้วยไนโตรเจน

http://www.bt-50proclub.com/


สงสัยอยู่เหมือนกันค่ะเรื่องการเติมลมยางด้วยไนโตรเจน ไปเจอข้อมูลเลยนำมาฝากชาว bt-50proclub ทุกท่านค่ะ
ปัจจุบันการเติมลมยางไนโตรเจน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยม เพราะมีข้อดีหลายอย่าง 
ในระยะเริ่มต้น มีเติมเฉพาะยางล้อเครื่องบิน และ รถแข่งเท่านั้น 


ข้อดีของการเติมลมยางด้วยไนโตรเจนมี ดังนี้ 

1. ช่วยประหยัดน้ำมัน จากการพิสูจน์ในอเมริกา รถที่เติมลมด้วยไนโตรเจน อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
จะลดลง โดยจำนวนระยะทางที่วิ่งได้ต่อน้ำมัน 1 แกลอน จะสูงขึ้น 1 ถึง 1.5 ไมล์

เหตุผล ด้วยอุณหภูมิของล้อที่ลดลง เมื่อใช้ลมยางไนโตรเจน จะช่วยลดแรงเสียดทานในการหมุน
ของยาง จึงช่วยประหยัดน้ำมัน

2. ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทำให้อุบัตเหตุที่มีสาเหตุจากยางลดลง

เหตุผล เพราะไนโตรเจนจะช่วยรักษาอุณหภูมิของยางอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ความดัน
ภายในลมยางขยายตัวได้น้อย จึงช่วยลดอุบัติเหตุจากการระเบิดของยางที่เกิดจากความร้อน

3. ไม่ต้องตรวจเช็คลมยางบ่อย อันนี้คงเหมาะกับสุภาพสตรีทั้งหลายที่ไม่มีความชำนาญเรื่องการ
ดูแลรักษารถ

เหตุผล เพราะไนโตรเจนมีอะตอมขนาดใหญ่กว่า ออกซิเจนมาก ทำให้ซึมเข้าออกเนื้อยางได้ยากกว่า
ออกซิเจน ดังนั้นลมยางจึงไม่ค่อยลดลง

4. ช่วยยืดอายุยาง มีผลมากกับยางที่ใช้น้อยแต่ใช้มาเป็นเวลานานๆ

เหตุผล เพราะการเติมลมยางปกติ ที่มีออกซิเจนผสมอยู่มากจะเข้าไปทำปฎิกิริยากับเคมีในเนื้อยาง 
ทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าไนโตรเจน นอกจากนี้การที่อุณหภูมิร้อนน้อยกว่าทำให้ยากสึกหรอน้อยกว่าอีกด้วย

ที่มา : บริษัทบริดจสโตนเซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

 ส่วนความคิดเห็นอื่นๆ หากมีท่านใดเติมแล้วมาเล่าสู่กันฟังอีกน่ะค่ะ

--ขอให้มีความสุขในการขับขี่ค่ะ--

Monday, May 21, 2012

BT-50 PRO ปัญหาฝากระโปรงหน้า

http://goo.gl/SmKCi

ปัญหา BT-50 PRO กระบะไม่ตรงหัวเก๋ง


http://goo.gl/V1aGZ




ยุคน้ำมันแพง ขับอย่างไรถึงจะประหยัดเงินในกระเป๋าสำหรับเกียร์ธรรมดา

http://www.bt-50club.com/thread-4060-1-1.html

 ต่อเนื่องจากกระทู้ที่แล้วที่ได้นำเทคนิคในการขับเกียร์อัตโนมัติมาฝาก มีเพื่อนๆในคลับ bt-50 บางท่านก็อยากทราบวิธีการขับระบบเกียร์ธรรมดา จึงได้หาข้อมูล และรวบรวมเทคนิคในการขับขี่เกียร์ธรรมดา เพื่อประหยัดน้ำมัน และยังช่วยยืดอายุการใช้งานที่คุ้มค่าของรถอีกด้วยค่ะ หลักในการปฏิบัติก็มีดังต่อไปนี้
- ไม่อุ่นเครื่องนาน ไม่ผลาญน้ำมัน หลังจากติดเครื่องแล้ว ให้ปรับเบาะนั่ง,กระจกต่างๆ ,จัดเก็บข้าวของให้เรียบร้อย คาดเข็ดขัดนิรภัย จากนั้น เริ่มออกรถ โดยให้รถวิ่งไปอย่างช้าๆ แทนการอุ่นเครื่องยนต์
- ขับนิ่ม ๆ ก็ประหยัดแน่ ๆ รักษาความเร็วให้คงที่ ใช้ความเร็วประมาณ 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันให้มากที่สุด
- จอดรถดังเอี๊ยด !!! การออกรถกระชาก ๆ และเบรกแรง ๆ เบียดบังพลังงาน การขับรถวิธีนี้ เป็นการทำลายรถ สิ้นเปลืองน้ำมันทันตาเห็นและ ยังไม่ปลอดภัย ทั้งเครื่องยนต์จะพังแถมยังอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าเดิมถึง 30%
- จอดรถติดเครื่อง ทั้งเปลือง...ทั้งพัง การติดเครื่องยนต์ขณะจอดรถทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง การจอดรถทิ้งไว้ทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ไม่ หมด มีควันพิษและทำให้เครื่องยนต์เสีย
- เลือกใช้เกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็วรถ หากใช้เกียร์ไม่สัมพันธ์กับความเร็วของรถ เช่น ขับมาด้วยความเร็วแต่ใช้เกียร์ต่ำ หรือพึ่งออกรถ แต่ใช้เกียร์สูง เครื่องยนต์ก็จะพังและทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันด้วยเร็วเกียร์สูง...ช้าเกียร์ต่ำ ไม่ควรลากเกียร์ต่ำนานๆ เพราะจะทำให้เครื่องยนต์และเกียร์ทำงานหนักกินน้ำมันมาก ควรเข้าเกียร์ให้สัมพันธ์กับความเร็ว คือ เกียร์ 1 และ 2 เหมาะกับความเร็วต่ำ ส่วนเกียร์ 3,4 และเกียร์ 5 เหมาะกับความเร็วสูง แล้วอย่าลืมออกรถทุกครั้งควรใช้เกียร์ 1
- การเลี้ยงคลัตช์ขณะรถวิ่งหรือจอด ควรเหยียบคลัตช์เมื่อเข้าเกียร์หรือเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น การชะลอความเร็วของรถไม่จำเป็น ต้องเหยียบคลัตช์ ทำให้คลัตช์สึกหรอเร็ว ดังนั้นทุกครั้งที่ชะลอรถควรใช้วิธีชะลอความเร็วก่อนจึงค่อยเหยียบคลัตช์เมื่อรถใกล้หยุด จะช่วยยืดอายุคลัตช์ให้ยาวนานขึ้น และควรปลดเกียร์ว่างเมื่อจอด
- การ"เบิ้ล"เครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น เช่น ขณะจอดเฉย ๆ เปลี่ยนเกียร์และก่อนดับเครื่องยนต์นั้น ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่จำ เป็น
- เดี๋ยวหยุด เดี๋ยวเร่ง ให้เตรียมตัวล่วงหน้าก่อนขับถึงสี่แยก โดยมองสัญญาณไฟหรือป้ายสัญญาณแต่เนิ่น ๆ และควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนช่อง ทางวิ่งบ่อยๆ ทำให้ช่วยรักษาเบรกและทำให้ประหยัดน้ำมันอีกทางหนึ่ง
- บรรทุกเกินตัว...ทั้งซด ทั้งพัง บรรทุกหรือติดตั้งอุปกรณ์เท่าที่จำเป็น จะทำให้รถมีน้ำหนักมากและสิ้นเปลืองน้ำมัน เพิ่มขึ้น จัดวางสัมภาระให้สมดุลลงด้านกึ่งกลางของตัวรถไม่ควรทิ้งน้ำหนักลงด้านหลัง มากเกินไปจนหน้าเชิดเพราะจะทำให้การควบคุมรถเป็นไปได้ลำบาก อีกทั้งยังทำให้เครื่องยนต์ เกียร์ และช่วงล่าง ต้องรับภาระหนักขึ้นตามน้ำหนักที่บรรทุกเพิ่มขึ้นมา ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันและสึกหรอสูงอีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อการควบคุมการขับขี่และเพื่อนร่วมท้องถนน
- ยิ่งหนาว...ยิ่งแพง ควรเปิดเครื่องปรับอากาศให้เย็นพอสมควร หากจอดรถกลางแดดนาน ๆ ให้แง้มกระจกเพื่อระบายอากาศ ทางที่ดีควรปรับปุ่มปรับความเย็นและปุ่มความแรงของลมให้สัมพันธ์กัน จะช่วยประหยัดค่าน้ำมันแน่นอนและยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศให้รับใช้ท่านไปนานๆ 
- ตรวจเช็คลมยางตามกำหนด ควรตรวจดูลมยางให้อยู่ในอัตราที่กำหนด ทุกๆ 2 สัปดาห์ ควรใช้ขนาดและประเภทยางตามที่ผู้ผลิตกำหนดไว้
- เลือกเส้นทางขับ จะประหยัดน้ำมัน สภาพถนนต่างกันก็มีอิทธิพลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น ถ้าสภาพถนนไม่ดี มีทางขรุขระ หรือ ทางชันจะมีแรงเสียดทานสูงขึ้น เครื่องยนต์ทำงานหนักมากขึ้นจึงสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น
- รู้รถ...รู้เส้นทาง ควรจะมีการวางแผนเส้นทางล่วงหน้า จะไม่พบกับสภาพรถติด ไม่หลงทางไม่เสียเวลา และไม่เสียอารมณ์หากมีการวางแผนล่วงหน้าจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันได้

ข้อมูล: กรมการขนส่งทางบก และประหยัดน้ำมันกับอีซูซุ

Install Ubuntu 12.04 on ASUS F81Series

หน้าจอมืดมีแค่ underscore กระพริบติดตั้งไม่ได้
http://juuier.blogspot.com/2010/10/sata-ubuntu-1010-mervarick.html

แก้ไข resolution หน้า login ให้เท่ากันกับ resolution ในระบบ
http://juuier.blogspot.com/2012/05/fix-login-screen-resolution-in-ubuntu.html

วิธีดูวันเดือนปี ที่ผลิตยาง

http://www.teana-club.com/webboard/index.php?topic=3340.0




ทำพรมดักฝุ่นปูพื้นรถแบบเข้ารูปในราคาไม่ถึง 360 บาท

http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2010/01/V8804263/V8804263.html









เมื่อต้องขับรถหน้าฝน

http://www.bt-50club.com/thread-3420-1-1.html


ที่มา : http://goo.gl/PPzFG

ช่วงนี้พายุ ฝนฟ้าคะนองบ่อย น่าจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย

  • ลดความเร็วลงกว่าความเร็วปกติประมาณ 20-30% ถึงแม้ว่าคุณอาจจะมีความคุ้นเคย หรือชำนาญในเส้นทางนี้ดีก็ตาม การที่ถนนโล่ง ว่าง และมองเห็นว่าไม่มีรถอยู่ นั่นไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้น เพราะอาจมีรถจอดเสีย ขวางทางและไม่ได้เปิดไฟสัญญาณ หรือมีคนข้ามถนนกระชั้นชิด ซึ่งเป็นสาเหตุให้เราไม่สามารถเบรกได้ทัน และเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
  • อย่าตื่นเต้น ตกใจหากว่า รถเกิดอาการลื่นไถล (เหินน้ำ) ให้ตั้งสติ ผ่อนคันเร่ง ลดความเร็วลง จับพวงมาลัยให้มั่น แล้วค่อย ๆ เหยียบเบรก เพื่อชะลอความเร็ว ในกรณีที่รถของคุณมีระบบ Anti-Brake lock System (ABS) อย่าเหยียบแล้วปล่อย (ย้ำเบรก) เพื่อจะทำให้ไม่เกิดการไถลซ้ำได้อีก
  • การขับรถตามคันรถคันหน้า ต้องเว้นระยะห่างมากกว่าสภาพถนนตามปกติ เพราะความสามารถในการเบรกจะลดลง แต่จะมีผลดีเพราะน้ำที่เกาะบนถนนจะถูกยางของรถคันหน้ารีดน้ำออกไป ทำให้รถเราเกาะถนนได้ดีขึ้น
  • อย่าขับผ่านถนนที่มีน้ำไหลแรงตัดผ่าน จนกว่าคุณจะแน่ใจว่ามองเห็นพื้นข้างล่างที่ไม่ลึกเกินไป (ประมาณไม่เกิน 6-10 นิ้ว) เพราะคุณอาจจะจะควบคุมรถไม่ได้ โดยทั่วไปรถของคุณ (รถเก๋ง) อาจจะถูกน้ำพัดและยกให้ลอยไปตามกระแสน้ำได้ เมื่อกระแสน้ำมีความลึกประมาณ 18 นิ้ว หากไม่มั่นใจอย่าฝ่าเข้าไป ให้รอก่อน หรือเปลี่ยนเส้นทางจะดีกว่า
  • ต้องชะลอความเร็วก่อนเข้าโค้ง และห้ามเบรกอย่างแรงเมื่ออยู่ระหว่างเข้าโค้งเพราะอาจจะทำให้รถเลื่อนไถล หรือหมุนได้
  • ไม่ควรเปลี่ยนเลนหากไม่จำเป็น หรือหากต้องการเปลี่ยนเลนจะต้องให้สัญญาล่วงหน้าก่อนพอสมควร
  • เพื่อให้รถคันอื่นเตรียมพร้อม ได้ ก่อน และต้องตระหนักไว้เสมอ ว่าอาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาด ฝันได้ตลอดเวลา เมื่อต้อง ขับรถในขณะฝนตก
  • พยายามอย่าขับรถตามรถขนาดใหญ่ในระยะใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถบรรทุกหรือรถบัส เพราะรถเหล่านี้เมื่อวิ่งบนพื้นถนนที่เปียก จะสร้างละอองน้ำผสมเศษดินจากพื้นถนน ปลิวขึ้นมาเกาะกระจกหน้ารถของเรา ทำให้การมองเห็นลดลง ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ต้องระวังรถที่วิ่งสวนมา อาจเหยียบน้ำกระเด็นเข้ามาที่กระจกหน้าทำให้เรามองไม่เห็นไปชั่วขณะหนึ่ง อย่าตกใจแล้วเผลหักหลบ เพราะมีโอกาสที่เราจะไปชนรถคันข้าง ๆ หรือการเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน อาจทำให้รถที่วิ่งตามหลังมาชนท้ายเราก้อได้
  • ให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อถึงทางแยก ทางร่วม เพราะบางครั้ง เราเองหรือรถที่วิ่งในทางแยกมองไม่เห็นรถที่อยู่อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากทัศนะวิสัยไม่ดี และจะมองไม่เห็นแสงไฟจากหน้ารถของเรา เพราะเราหันข้างให้ ทำให้มีโอกาสเกิดอันตรายได้สูงมาก
  • เมื่อฝนตกทำให้มีความชื้นและอากาศเย็น บางครั้งเราอาจจะไม่อยากเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เราควรจะต้องระวังว่า ความชื้นเวลาฝนตกค่อนข้างสูง ทำให้มีไอน้ำมาเกาะที่กระจกด้านใน แล้วกระจกจะเป็นฝ้า ทำให้เรามองเห็นได้ไม่ชัดเจน ดังนั้นหากปิดเครื่องปรับอากาศต้องเปิดกระจกแง้มไว้ด้วย

เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา


http://www.bt-50club.com/thread-4039-1-1.html

เทคนิคการขับรถเกียร์ธรรมดา

1. ทุก ครั้งก่อนออกจากรถ ผู้ขับรถควรจะปลดเกียร์ให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่างเสมอพร้อมทั้งดึงเบรกมือ ค้างไว้ เพื่อป้องกันการหลงลืมเมื่อมีการไขกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งใหม่ เพราะเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ โดยเกียร์ไม่ได้อยู่ ในตำแหน่งเกียร์ว่าง รถจะพุ่งไปข้างหน้า หรือถอยหลังอย่างฉับพลัน อันจะก่อให้เกิดอันตรายได้ สำหรับการ ปลดเกียร์ว่าง นอกจากจะปฏิบัติก่อนออกจากรถทุกครั้งแล้ว อาจปฏิบัติในขณะรถติดนาน ๆ ได้ด้วย โดยดึงเบรกมือ แทนการเหยียบเบรก และคลัทซ์ค้างไว้ ช่วยพักเท้าคลายอาการเมื่อยล้าได้ด้วย

2. ควร เหยียบคลัทซ์ทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ มาสู่ระบบ ขับเคลื่อน เพราะหากลืมปลดเกียร์มาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง การเหยียบคลัทซ์จะทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน3. มือ ใหม่หัดขับ มักพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ต้องขึ้นสะพาน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องติดค้าง อยู่บนสะพาน ผู้ขับมือใหม่มักกังวลว่าจะทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้รถไหลไปชนคันหลัง วิธีง่าย ๆ ก็คือ ปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือ และเมื่อจะเคลื่อนตัวให้ผู้ขับเหยียบคลัชท์และเข้าเกียร์ 1 พร้อม ที่จะออก แล้วเหยียบคันเร่งช้า ๆ พร้อมกับปลดเบรกมือ รถอาจจะไหลบ้างเล็กน้อยตามพื้นที่ลาดเอียง มือใหม่หัดขับไม่ต้องตกใจ ออกตัวรถไปตามปกติ

4. เลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วของรถ และเปลี่ยนเกียร์ที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ไม่ต่ำ หรือสูงเกินไป (2,000 – 3,000 รอบ/นาที) จะทำให้การขับขี่นุ่มนวลยิ่งขึ้น และประหยัดน้ำมันอีกด้วย

5. การชะลอรถ/หยุดรถ เมื่อขับมาด้วยความเร็ว ให้ค่อย ๆ แตะเบรก อย่าพึ่งเหยียบคลัทซ์ เพื่อให้กำลัง ของเครื่องยนต์เป็นตัวช่วยชะลอรถ (ENGINE BRAKE) จากนั้น เมื่อรถใกล้จะหยุด ให้เหยียบคลัทซ์ และเมื่อรถ หยุดสนิทให้ปลดเกียร์ว่าง พร้อมทั้งดึงเบรกมือเพื่อป้องกันรถไหล

6. หมั่นฝึกเปลี่ยนเกียร์ให้เกิดความชำนาญ โดยใช้ประสาทสัมผัสแทนการเหลือบมอง เพื่อป้องกัน การเกิดอุบัติเหตุ

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะละเลย นั่นคือ ไม่ควรวางเท้าไว้ที่แป้นคลัทซ์ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เหยียบคลัทซ์ก็ตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานของลูกปืนคลัทซ์ นอกจากนี้ ยังไม่ควรเลี้ยงคลัทซ์เมื่อรถติดอยู่บนเนินหรือสะพาน เพราะจะทำ ให้คลัทซ์ลื่น คลัทซ์ไหม้ และอายุการใช้งานของผ้าคลัทซ์ก็จะสั้นลงด

15 บัญญัติ ขับรถอย่างประหยัด และยืดอายุการใช้งาน




   การขับรถเพื่อให้ได้ระยะทางที่เพิ่มมากขึ้นต่อน้ำมัน 1 ลิตรนั้น  เป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างไม่ยาก  นอกจากประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วยังช่วยอายุการใช้งานของรถยนต์อีกด้วยขั้นตอนต่อไปนี้  คือวิธีที่จะช่วยในการประหยัดค่าใช้จ่าย  ทั้งค่าซ่อมบำรุง  และค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จึงอยากจะนำวิธีการที่จะช่วยประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานมาฝากชาวคลับ bt-50  โดยการปฎิบัติตามข้อแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ

1. เติมลมยางให้มีแรงดันถูกต้องเสมอ โดยการตรวจแรงดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง  ถ้าลมยางอ่อนเกินไป  จะทำให้ยางสึกเหรอมากและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

2. อย่านำของที่ไม่จำเป็นไปกับรถ น้ำหนักที่บรรทุกไปโดยไม่จำเป็น  จะกินกำลังเครื่องยนต์และสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

3. อย่าติดเครื่องเดินเบาเพื่ออุ่นเครื่องนานๆ เมื่อเครื่องยนต์เดินเรียบแล้ว  ให้เริ่มออกตัวช้าๆอย่างนิ่มนวล  แต่ถ้าอากาศเย็นจัดอาจจะต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องนานขึ้น

4. เข้าเกียร์ในตำแหน่ง “D” เมื่อไม่ต้องการเบรกด้วยเครื่องยนต์ การขับรถโดยเข้าเกียร์ที่ตำแหน่งอื่นๆ จะไม่ช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิง

5. เร่งเครื่องอย่างช้าๆ และนุ่มนวล  อย่าเร่งออกรุนแรงและเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงขึ้นโดยเร็ว

6. อย่าติดเครื่องเดินเบานานๆ ถ้าต้องจอดรถและรอคอยนานๆ หรือไม่ได้ขับรถอยู่ ควรดับเครื่องแล้วค่อยสตาร์ทใหม่ในภายหลังจะดีกว่า

7. หลีกเลี่ยงการลากเกียร์และเร่งเครื่องจนราบสูงเกินไป ใช้ตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมกับช่วงความเร็วของรถยนต์และสภาพถนน

8. อย่าเร่งและลดความเร็วติดต่อกัน การขับรถแบบ  ขับๆ-หยุดๆ เช่นในสภาพรถติดนั้น  จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาก

9. อย่าหยุดรถหรือเบรกโดยไม่จำเป็น พยามยามรักษาจังหวะการขับรถให้สอดคล้องกับสัญญาณไฟจราจร  เพื่อจะได้ไม่ต้องหยุดรถบ่อยๆรักษาระยะห่างจากรถคันอื่นให้พอสมควร  เพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน  และจะช่วยให้ผ้าเบรกสึกช้าลงด้วย

10. ถ้าเป็นไปได้  ควรหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรติดขัดหรือคับคั่ง

11. ในขณะขับรถอย่าวางเท้า  พักบนแป้นเหยียบคลัชท์หรือเบรก เพราะจะทำให้เกิดความสึกหรอที่ไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น

12. รักษาความเร็วบนทางหลวงให้พอเหมาะ ยิ่งขับรถที่ความเร็วสูงมากก็จะยิ่งสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาก

13. รักษาศูนย์ล้อให้ถูกต้องเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการขับชนขอบทาง  และลดความเร็วลงเมื่อขับบนทางขรุขระ  ล้อที่ไม่ได้ศูนย์จะทำให้ยางสึกเร็วผิดปกติ  เพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ทำให้สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

14. หมั่นทำความสะอาดใต้ท้องรถ ล้างฝุ่นและโคลนใต้ท้องรถออกให้หมด  เพื่อให้รถเบาขึ้น  และช่วยป้องกันการเกิดสนิมด้วp

15. ปรับตั้งเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด กรองอากาศที่สกปรก  ระยะห่างวาล์วไม่ถูกต้อง  หัวเทียนสกปรก น้ำมันเครื่องสกปรกและอื่นๆ  จะทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลงและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง  ดังนั้นเพื่อยืดอายุของชิ้นส่วนต่างๆ  รวมถึงประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อม  ควรนำรถเข้าบำรุงรักษาตามกำหนด  เว้นแต่การใช้งานหนักหรือใช้งานในบริเวณที่มีฝุ่นมากอาจจะต้องบำรุงรักษาบ่อยขึ้น

ขอให้สนุกกับการขับขี่ทุกท่านค่ะ  

ที่มา: http://www.toyotabara.com/main/

Friday, May 18, 2012

Data error (cyclic redundancy check)


  • ประเด็นมีอยู่ว่า พยายามเปิดไฟล์ .doc แต่มันเปิดไม่ได้
  • ลองเปลี่ยนชื่อ หรือ คัดลอกไปที่พาธอื่น มันแสดงข้อความ

Data error (cyclic redundancy check)


  • ค้นหาข้อมูลใน Google เค้าบอกกันว่า HDD น่าจะมีปัญหา เรื่อง bad sector ซวยแล้ว
  • ทำไงดี


Solved
1. HDD Regenerator 


ใช้โปรแกรม แก้ Bad sector HDD ได้ทั้ง FAT/NTFS





2.  windows command line
chkdsk C: /r

หรือ

chkdsk D: /r 

ก็ว่ากันไป


เพิ่มเติม
  • ในกรณีนี้ ทดสอบ วิธีที่ 1 HDD Regeneratro แก้ปัญหาได้ ไฟล์นั้นก็กับมาเปิดได้ปกติ
  • วิธีที่ 2 น่าจะใช้ได้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้ลอง


อ้างอิง

Thursday, May 17, 2012

คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ

http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9510000026438


 ปัจจุบันนี้ผู้ขับรถรุ่นใหม่ทั้งหลายนิยมขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่เนื่องด้วยความสะดวกและง่ายในการควบคุมรถ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยนิยมขับเกียร์ธรรมดาเพราะขับสนุกกว่าหลายเท่า แต่ทั้งนี้จะต้องเหยียบคลัทซ์ควบคู่ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการเบารถ เหยียบเบรก เลี้ยวรถ แถมบางคนยังได้รับการบอกต่อๆกันมาว่าถ้ากลัวเครื่องยนต์ดับก็ให้เยียบคลัทซ์ไว้
       

      
       ในการไปสอบใบขับขี่จากทางราชการก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะไม่ดูพฤติกรรมการัขบรถของผู้เข้าทดสอบในเรื่องการใช้คลัทซ์เลย ความจริงแล้ว"คลัทซ์"นั้นคือมหันตภัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่หลวงหากผู้ขับใช้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป การเหยียบคลัทซ์แล้วปล่อยให้รถวิ่งไปมีค่าเท่ากับปล่อยเกียร์ว่างเช่นเดียวกับที่เรียกว่า "Coasting"ในการสอบใบขับขี่สำหรับประเทศที่มาตรฐานสูงอย่างประเทศอังกฤษจะให้ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้สอบตกทันที
       เกียร์ไปยังล้อรถยนต์ ขณะที่รถวิ่งและยังอยู่ในเกียร์แรงฉุดจากเครื่องยนต์จะถ่ายทอดกำลังไปกดที่ล้อรถเพื่อช่วยให้ล้อเกาะติดถกับพื้นถนน ดังนั้นในเมื่อขับรถอยู่หากผู้ขับไปเหยียบคลัทซ์เข้าไม่ว่าจะเป็นจากความเคยชินหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำให้แรงกดถนนจากเครื่องยนต์ถูกตัดขาดไป รถจะไม่เกาะถนน หากถนนลื่นหรือมีการหักเลี้ยวรถจะหมุนโดยทันทีโดยเฉพาะกับผู้ที่เคยชินกับการเบรกพร้อมกับเหยียบคลัทซ์ไปด้วยจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพราะแรงฉุดจากเครื่องยนต์ได้ถูกตัดขาดไป การเบรกก็จะยากขึ้นอีกเท่าตัว
      
       อุบัติเหตุทางรถยนต์ทุกวันนี้สาเหตุหนึ่งก็คือการใช้คลัทซ์เกินความจำเป็นนั่นเอง อาทิ จะเบรกก็เหยียบคลัทซ์ รถขึ้นเขา-เลี้ยงคัลทซ์ สิ่งเหล่านี้เรียกนี้ว่า "Coasting" จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ใช้รถลองเปลี่ยนอุปนิสัยการใช้คลัทซ์ใหม่ อย่างเช่นลองเหยียบคลัทซ์ต่อเมื่อเปลี่ยนเกียร์หรือขับช้าเพื่อเข้าที่แคบๆเท่านั้นเอง หรืออีกแบบขณะที่ขับรถมามีเหตุให้ต้องเบารถก็เพียงแค่ยกคันเร่งรถก็จะเบาลง หากเมื่อยกคันเร่งแล้วความเร็วยังไม่ลดตามที่ต้องการก็ใช้เท้าขวาแตะเบรกเบาๆแต่ห้ามไปเหยียบคลัทซ์เป็นอันขาด
       

       หากจำเป็นจะต้องหยุดรถโดยทันทีให้เหยียบเบรกลงไปอย่างแรงและไม่ต้องเหยียบคลัทซ์จนรถหยุดเกือบสนิทแล้วจึงเหยียบคลัทซ์พร้อมกับปลดเกียร์ว่าง ซึ่งการฝึกแบบนี้จะช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้นไม่ปัดซ้ายขวาถึงแม้ถนนลื่น อย่างไรก็ตามควรระวังเท้าซ้ายเพราะเป็นเท้าที่เหยียบคลัทซ์เมื่อรถออกตัวเต็มที่ให้เอาเท้าซ้ายวางไว้ที่พื้น ไม่ต้องไปเหยียบคลัทซ์
      
       พฤติกรรมแบบนี้ผู้ขับจะต้องฝึกบ่อยๆและสลัดของเก่าๆที่เคยชินออกไปเมื่อนั้นก็จะเป็นนักขับที่ถูกต้องลดอันตรายลงไปมาก เห็นไหมครับว่าคลัทซ์นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษเท่าๆกัน เพียงแต่เราต้องใช้ให้ถูกวิธืเท่านั้นเอง.......
      
       ข้อมูลจาก - ยางมิชลิน

แก้ Bad sector HDD ได้ทั้ง FAT/NTFS

http://gusoft.blogspot.com/2009/05/bad-sector-hdd-fatntfs.html


Tuesday, May 15, 2012

วิธียกเลิก sms โฆษณาขยะทุกชนิด ais, dtac


ais กด *137 โทรออก ฟังรายละเอียด...

dtac กด 1678 โทรออก ฟังรายละเอียด...


อ้างอิง

Logon failure: the user has not been granted the requested logon type at this computer

คือพยายามจะเข้าถึงเครื่อง XP จากเครื่องเราที่เป็น Win7 แต่มันขึ้นข้อความดังภาพ

... is not accessible. Yout might not have permission to use this network resource. Contact the administrator of this server to find out if you have access permissions.

Logon failure: the user has not been granted the requested logon type at this computer.

Solved

a) "Access this computer from the network" includes Everyone and
Administrators and many others.

b) "Deny access to this computer from the network" make sure that Guest
is not listed there. If you still have problems, then maybe make sure
that nothing is listed there. I had Guest listed there, and it was the
cause of my problems. I have no idea how it got there.
note- the "Deny access" policy is the second policy beginning with D. a
It after "Debug Programs"

c) maybe try this, 'cos i've seen it recommended.
Administrative tools...local security policy..security options
"Network access sharing and security model for local accounts" there
are 2 options either classic or 'guest only'. try the other option. I
found it only works on Guest. But i recall seeing somebody saying it
only worked with 'classic'. I think you shoudl keep it as Guest! Make
sure that the Guest is enabled and not Denied access (See point b)


สำหรับปัญหาที่เกิดในที่นี้แก้โดย ข้อ B ลบ guest ออกจาก deny access policy

อ้างอิง

Monday, May 14, 2012

Fix login screen resolution in Ubuntu 12.04

ปัญหาที่เจอทุกครั้งตั้งแต่ 11.04


Fix login screen resolution in Ubuntu 11.04


แก้ตาม 11.10 หรือ เอาไฟล์ที่เรา backup ไว้ไปวางที่ /etc/X11/xorg.conf ได้เลย

Monday, May 7, 2012

Client Services for NetWare has disabled the Welcome screen and Fast User Switching ...

  • พอดี หน้าจอ welcome screen มันบ่ขึ้น สิ่งที่ขึ้นคือ popup ให้กรอก username และ password เหมือนพวกหน้า logon ของ windows me 98 นั่นแหละ



  •  พอจะเปลี่ยนให้เป็นแบบ welcome screen สวยๆ ไง๋มันแสดงข้อความ
  • Client Services for NetWare has disabled the Welcome screen and Fast User Switching ...


Sovled

  • ให้เราไปที่ Properties ของ Connection แล้ว Uninstall 
  • Client Services for NetWare


  • แค่นี้เราก็จะ Enable welcome screen ได้แล้ว


เครดิต

Thursday, May 3, 2012

Setting auto central lock for BT50 Pro

ที่มา : http://www.bt-50club.com/forum.php?...

ศึกษาการตั้งค่าเพิ่มเติมได้ในคู่มือ ที่เค้าให้มาได้นะครับพี่น้อง


1 )   บิดกุญแจไปที่ on แล้วกดล็อก 3 ครั้ง

2 )   บิดกุญแจไปที่ off แล้วกดล็อก 3 ครั้ง  (เราจะได้ยินเสียง แตร์ ดัง 1 ครั้ง สั้นๆ)

3 )   บิดกุญแจไปที่ on
------ จากนั้น หยุดรอฟังเสียงสัญญาณสักครู่จะดังในห้องโดยสาร ว่าเราเข้าสู่โหมดตั้งค่าแล้ว

------ เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเข้าสู่โหมดตั้งค่าผู้ขับแล้ว กดล็อก 2 ครั้ง  (เราจะได้ยินเสียง แตร์ ดัง 1 ครั้ง สั้นๆ)

4 )   แล้วบิดกุญแจไปสตาร์สเครื่องลองขับ
(เราจะได้ยินเสียง แตร์ ดัง 2 ครั้ง สั้นๆ ก่อนเครื่องจะเริ่มสตาร์ส เป็นอันว่าสำเร็จ)

หมายเหตุ 
  • ตำแหน่ง off คือ O , ตำแหน่ง on คือ l l
  • ระบบจะ lock auto เมื่อความเร็วเราถึง 7 km/h

Popular Posts