Monday, November 25, 2013

มารู้จักกับ Wipe แบบต่างๆ บน Android

http://droidsans.com/node/46547

หลังจากลองหัด flash ROM โมมาหลายที ก็ยังสงสัยศัพท์บางอย่างเกี่ยวกับการ wipe หรือลบข้อมูล
หาเอาในเน็ตได้มาดังนี้นะครับ
Wipe data & factory reset
- ใช้สำหรับลบ App ลบ Data และค่าต่าง ๆ ที่ตั้งโดย User ไปสู่ค่าเดิมของ ROM
Wipe cache partition
- ลบส่วนที่เป็นแคชไฟล์ หรือไฟล์ชั่วคราว ที่เกิดจาก App และระบบ
Wipe dalvik cache
- เป็นแคชเหมือนกัน แต่ dalvik cache จะเกิดจาก App หรือระบบบางส่วนที่เป็น Java
**** ทำผ่าน Recovery Mode นะคับ
หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่นะครับ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
  • ROM และ Firmware ก็คือ Android system os ความจริงคืออย่างเดียวกัน บางทีก็เรียกรอม บางทีก็เรียกเฟิร์มแวร์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนก็คือ Official Rom ก็คือรอมจากศูนย์ ซึ่งแต่ละค่ายจะบอกว่า เบสออน แอนดรอยด์ จากกูเกิลเวอร์ชันไหน Custom Rom ก็คือรอมที่นักพัฒนาทั้งปรุงขึ้นมาซึ่งอาจจะมาจากรอมศูนย์ หรือจากกูเกิลโดยตรง
  • Kernel คือแกนหลักตัวประมวลผลกลางของ Android หรือระบบ Linux ประกอบด้วยโมดุลต่างๆ ในการติดต่อกับพวกฮาร์ดแวร์
  • Odexed และ DeOdexed อันนี้อาจจะยากสักหน่อย แต่เราไม่ต้องรู้ทั้งหมด เอาแค่ว่ามันคืออะไร รอมที่เราใช้เป็นแบบไหนก็พอ เพราะตอนที่เราจะอัพเดท บางทีอาจจะมีการแบ่งชนิดของรอมด้วย odexed (optimized dalvik executable) โปรแกรมหรือ แอพลิเคชัน .Apk จะมีไฟล์ไบนารี .dex แยกมาต่างหากซึ่งจะทำให้รันในตอนบูตครั้งแรกได้เร็วขึ้น แต่จะทำธีมและแก้แอพพลิเคชันยาก deodexed (de-optimized dalvik executable) โปรแกรมหรือ แอพลิเคชัน .Apk จะรวมไฟล์ไบนารี เป็นไฟล์เดียวกันเลย อาจจะทำให้บูตช้านิดหน่อยเนื่องจากต้องคลี่ไฟล์ทีบีบรวมไว้ก่อน แต่จะทำให้การแก้ไข ได้ง่าย
  • Recovery Mode คือการบูตเข้าโหมดพิเศษเพื่อ update from SD card, wipe data / factory reset and wipe cache partition ซึ่งเป็นคำสั่งพิเศษที่มากับ Stock Rom
  • Clockworkmod Recovery Mode คือRecovery ที่พัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมโดย clockworkmod เพิ่มเติมคำสั่ง install zip from sdcard, backup and restore, mounts and storage, advanced and power off เป็นต้นเข้าไปให้เราได้ใช้งาน
  • Download Mode คือโหมดพิเศษสำหรับอัพรอม เคอร์เนล หรือโมเด็มใหม่ ซึ่งถ้าจะอัพเองค่อนข้างยากนิดนึง ไม่ควรทำเอง...
  • Undervolting [UV] คือการลดไฟฟ้าไปเลี้ยง CPU ซึ่งปกติจะตั้งมาจากโรงงาน 1275mv เราสามารถปรับลดได้ เพื่อประหยัดแบต แบ่งเป็นสเต็ปๆ
  • Overclocking [OC] คือการเพิ่มคล๊อคของ CPU ซึ่งปกติตั้งมาที่ 1.2ghz ซึ่งเราสามารถจะปรับได้ถึง 1.6ghz..ในเครื่องทั่วๆไป
  • Brick คือ Find3. กลายเป็นที่ทับกระดาษราคาแพง ซึ่งเราก็ไม่อยากให้มันเป็นกัน รวมถึงผมด้วย..T^T..
  • 10.  Calibration คือการปรับรีชาร์จและชาร์จไฟให้ได้มาตรฐาน เนื่อจากตอนที่เราอัพรอมใหม่ หรือใช้ไปนานๆ ใน CWM เรียกว่า Wipe Battery...หรือ wipe battstas. ใน cwm ของเรานั่นเอง


  • Full Wipe คือการทำ wipe data , wipe cache ,wipe dalvik cache เพื่อเคลียร์ข้อมูลในเครื่องแล้วอัพรอมใหม่ แต่บางรอมก็ไม่ต้องเคลียร์..
  • AOSP ย่อมาจาก Android Open Source Project หมายถึงการใช้ Android รุ่นที่อยู่บนเว็บ source ของกูเกิล โดยที่ยังไม่ได้ปรับแต่งอะไรทั้งสิ้น จากนั้นค่าย HTC , LG , Moto , Samsung ค่อยไปเอามาดัดแปลง เพิ่มเติมของตัวเองลงไป CM หรือ MIUI ก็มาจาก AOSP
  • Stock หมายถึง สิ่งที่มากับเครื่องตั้งแต่ต้น ดังนั้น Stock Rom ก็คือรอมที่มากับเครื่องตอนซื้อเลย หรือที่อัพเดทโดยบริษัทผู้ผลิต
  • Baseband คือ Radio หรือ Modem ซึ่งใช้ติดต่อกับเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์ แยกอิสระจาก ROM และ Bootloader อัพเดทแยกต่างหากได้
  • CSC คือ Customer Sales Code มีหน้าที่ดังนี้ ควบคุม data for the broadband networks และ ภาษาสำหรับพื้นที่นั้นๆ.
  • Wipe data /Factory reset คือ ล้างข้อมูลและการตั้งค่าทุกอย่าง เริ่มต้นใหม่เหมือนมาจากโรงงาน ทั้ง apps ทั้งค่าที่เราตั้งไป หายหมดเกลี้ยงเลย [ไม่เกี่ยวกับ Sd เฉพาะส่วน 2 Gb ลง apps]
  • Wipe cache partition คือ เป็นการล้าง cache ในพาร์ติชันต่างๆ ให้เก็บค่าใหม่ เพื่อปรับปรุงกรณีมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ค่าต่างๆ และ apps ยังอยู่ครบ
  • Wipe Dalvik Cache คือ ล้าง dalvik cache ของ apk ต่างๆ เพื่อเก็บค่าใหม่ พอล้างตอนบูตครั้งแรกจะช้าหน่อย ยิ่ง apps เยอะยิ่งช้าครับ ไม่ต้องลง apps ใหม่ มันสร้าง cache ใหม่เฉยๆ  ...
  • สรุปว่า ... ในการลง rom ใหม่ทุกครั้งเราควรที่จะทำการ FULLWIPE. ทุกครั้งเพื่อความสมบูรณ์ที่สุดใน rom ตัวใหม่ที่เราได้ลงไปครับ.

Tuesday, November 12, 2013

How to use Pidgin with Google talk on Ubuntu 13.10

  • ประเด็นคือ ไม่ได้ใช้ pidgin บน windows และ linux นานแหละ เพราะตั้งค่าเข้าใช้ google talk ไม่เป็น
  • วันนี้ ตั้งค่าได้แล้ว เลยขอเขียนเก็บไว้หน่อย
Solved
  • Basic tab ณ Username ใส่เป็นชื่อ account เรา Domain กรอกเป็น gmail.com และที่สำคัญ Password ต้องถูกต้องด้วยนะ ส่วน Resource จะใส่ไม่ใส่แล้วแต่เรา
  • ไปต่อที่ Advanced tab อันนี้สำคัญ 
  • Connection security : เลือก Use old-style SSL
  • Connect port : ระบุเป็น 443 จ้า
  • Connect server : ใส่เป็น ่talk.google.com
  • ส่วนอย่างอื่นเราใช้เริ่มต้น บ่ต้องไปแก้อะไรมันนะ
อ้างอิง

Wednesday, November 6, 2013

GRUB 2 Background Image and Font color Ubuntu 13.10

https://help.ubuntu.com/community/Grub2/Displays#Image_Priority


Change background Grub2 (Installing Splash Images)
  • grub2 ณ ขณะนี้ผู้เขียนใช้ Ubuntu 13.10 เป็น distro อ้างอิง 
  • Grub2 supported jpg, JPG, jpeg, JPEG, png, PNG, tga, TGA 
  • ส่วนเรื่อง สีเป็นแบบกี่ bit และ ขนาดไฟล์ภาพ ว่าใหญ่ได้แค่ใหน อันนี้ผู้เขียนไม่ทราบ เราน่าจะใช้ ภาพ wallpaper ทั่วๆไปได้เช่นกัน
  • เมื่อเราได้ภาพที่ต้องการแล้ว ให้เรา คัดลอกไฟล์ภาพไปวางไว้ที่พาธนี้ /boot/grub
  • เพิ่มเติมในกรณีที่ /boot/grub มีภาพหลายภาพอยู่ใน folder นั้น Grub2 จะเลือกภาพแรก ไปเป็นภาพ background ซึ่งการเรียงลำดับการเลือกจะเรียงตาม a-z
  • สุดท้าย update config Grub2 ด้วยคำสั่ง sudo update-grub

  • ถ้าทุกอย่างปกติ เมื่อสั่ง sudo update-grub แล้ว output ที่ได้จะแสดงชื่อไฟล์ภาพที่เราไปวางไว้ด้วย

Change menu font color Grub2

Case 1 : No splash image (กรณี Grub2 ไม่มีภาพ background)
  • Open /lib/plymouth/themes/default.grub for editing as root. 
  • Add the following entries below the existing lines. Substitute color values as desired:
set menu_color_highlight=yellow/dark-gray
set menu_color_normal=black/light-gray
set color_normal=yellow/black
  • Save the file and run sudo update-grub
Case 2 : Splash image present (กรณี Grub2 มีภาพ background)
  • Find the following lines:
if [ -z "${2}" ] && [ -z "${3}" ]; then
    echo "  true"
fi
  • Change the entry to the following, replacing 'color1' and 'color2' to the desired colors. Leave /black as is!
if [ -z "${2}" ] && [ -z "${3}" ]; then
    # echo "  true"
   
echo "    set color_highlight=color1/color2"
    echo "    set color_normal=color1/black"

fi
  • Save the file and run sudo update-grub

เพิ่มเติม
  • ลืมเตือน /etc/default/grub ที่ #GRUB_TERMINAL="console" อย่าเอา # ออกนะจ้ะ เพราะจำทำให้ grub เราเป็น สีดำกับขาวแบบ
  • อธิบายเพิ่มในกรณีเปลี่ยนสีตัวอักษร โดยไม่มีภาพ background 
  • menu_color_highlight=color1/color2 คือ กำหนดสีของบรรทัดที่เราเลือกอยู่ 
  • menu_color_normal=color1/color2 คือ กำหนดสีของบรรทัดที่ไม่ถูกเลือก
  • color_normal=color1/color2 คือ กำหนดสีตัวอักษรและพื้นหลังตัวอักษร นอกกรอบเมนู
  • โดย color1 คือ สีของตัวอักษร color2 คือ สีของพื้นหลังบรรทัดที่ถูกเลือกอยู่
  • สุดท้ายเรื่องสีของบรรทัด color2 ถ้าเลือกเป็น black=transparent


About "Black"
GRUB 2 treats "black" differently when it is the second entry in a setting, for example " color_normal=white/black ". In this case, black is considered a value for "transparent". The underlying image will be visible rather than the color black. This distinction becomes important when an image is present in the menu. GRUB 2 automatically ignores the menu_color_highlight and menu_color_normal values when an image is present and uses color_normal=white/black and color_highlight=black/white.
Setting the background value of non-highlighted entries black (the "transparency" value) ensures the image will be viewable. Since the developers don't know what image the user might choose, they selected the other values to provide the best chance that the menuentries will be visible. The colors may be changed to other values when using themes or by writing them directly into the 05_debian_theme file.
Edit : ลองไฟล์ภาพ Human Glossy 1600x1200.png ไม่ได้เลยหว่า ความละเอียดมากไปก็ไม่ผ่านหรือไงหว่า

Tuesday, November 5, 2013

Can't mount NTFS partition on Ubuntu 13.10 (Dual OS with Windows 8)

  • คือเราพยายาม mount partition ntfs ของ Windows 8 เราที่ลงคู่กับ Ubuntu 13.10 โดยแก้ไขไฟล์ /etc/fstab โดยเพิ่มคำสั่งเข้าไปประมาณนี้

/dev/sda1 /media/MASTER ntfs defaults 0 0
/dev/sda5 /media/FILES  ntfs defaults 0 0

  • พอรีบูตรอบแรก เข้าระบบ Ubuntu อีกครั้ง มันก็โอเคนะ drive ที่ mount ใช้ได้ด้วยแหละ
  • แต่พอปิดเครื่อง แล้วเปิดใหม่อีกรอบ มัน mount failed ซะงั้น ต้อง skip ไปเพื่อจะเข้าสู่ระบบ พอเราเข้าสู่ระบบได้แล้ว ก็ mount ntfs ไม่ได้อยู่ดีมันขึ้น error ประมาณนี้


Solved : You can disable "fast startup" in Windows' power options.
  • ไปที่ Control Panel เลือก Power Options 
  • จากนั้นคลิกที่ Choose what the power buttons do
  • ต่อด้วย คลิกที่ Change settings that are currently unavailable
  • มองไปที่รายการด้านล่างและ uncheck ที่รายการ Turn on fast startup (recommented)


  • สุดท้ายอย่าลืม คลิกที่ปุ่ม Save changes
  • ทดสอบ reboot เข้าระบบ Ubuntu ปัญหาเรื่อง mount ntfs ก็จะหมดไป

Refer

Tunnelling VNC remote Over SSH on Linux via Putty

Setting at VNC Server
ทำเหมือนกันกับโพสนี้เลย Tunelling VNC Over SSH on Windows
  • ให้เรา remote ผ่าน ssh เข้าไปที่ VNC Server และพิมพ์คำสั่ง เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อโดยในที่นี้จะ remote แล้วได้ resolution  vnc server ที่ความละเอียด 1024*768 (เราสามารถแก้ความละเอียดได้ตามความต้องการ)
$ vncserver -geometry 1024x768
  • ทำการแก้ไขไฟล์ graphic config ของ vnc ซะหน่อย (เพราะ server ของผู้เขียนเป็น debain ค่าเริ่มต้นของไฟล์นี้จะเป็นแบบ x desktop ซึ่งจะมีหน้าจอสีเทา แค่นั้นเมื่อรีโมทไป จึงต้องแก้ค่า คอนฟิกใหม่) ด้วยคำสั่ง
nano ~/.vnc/xstartup
  • แก้ไขให้เป็นประมาณนี้ (ในที่นี้จะ vnc เข้าไปแล้วใช้ gnome เป็น desktop) แก้เสร็จทำการ save ซะ
#!/bin/sh
[ -r $HOME/.Xresources ] && xrdb $HOME/.Xresources
xsetroot -solid grey
vncconfig -iconic &
xterm -geometry 80x24+10+10 -ls -title "$VNCDESKTOP Desktop" &
#startkde &
gnome-session &
  • ทำลาย session vnc ที่สร้างไว้เมื่อตะกี้ก่อน เพื่อโหลดค่า graphic config ใหม่ซะหน่อย
$ ps -ef | grep vnc
$ kill [pid vnc]
  • ตั้งค่า password vnc ซะหน่อยด้วยคำสั่ง (มันจะให้ใส่ password 2 ครั้ง)
$ vncpasswd
  • พิมพ์คำสั่ง เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อ อีกครั้ง 1
$ vncserver -geometry 1024x768
  • บน remote server ของผู้เขียนได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ เมื่อรันคำสั่งด้านบน
New 'myname-host:1 (env)' desktop is myname-host:1
Starting applications specified in /home/myname/.vnc/xstartup
Log file is /home/myname/.vnc/myname-host:1.log
You have new mail in /var/mail/myname
  • ผลลัพธ์ของผู้เขียนจะสร้าง display 1 เตรียมไว้ให้ remote เข้าไป จำเลขนี้ไว้ เลข 1 เราจะนำค่านี้ไปคอนฟิกใน putty อีกรอบ (หรือถ้าได้ myname-host:2 แบบนี้ให้จำเลข 2 ไว้เปลี่ยนท้ายเลขพอร์ต VNC)
  • ทางฝั่ง remote server พร้อมให้ remote แล้ว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
Setting at client
  • อย่างแรกเลย Linux เราในที่นี้ใช้ Ubuntu เราต้องติดตั้ง Putty ก่อน ด้วย Ubuntu Sotfware Center ง่ายสุด
  • เปิด Putty ขึ้นมา ตั้งค่า Tunnels โดยไปที่ Connection => SSH => Tunnels
  • Source port ใส่เป็น 5901 และ Destination ใส่เป็น localhost:5901 (ที่มาของการที่ต้องใช้พอร์ต 5901 อ่านได้จาก Tunnelling VNC Over SSH on Windows)

  • คลิกที่ปุ่ม Add (ทำไมมันมีปุ่มให้ Apply เหมือน Windows หว่า)
  • จากนั้นไปที่เมนู Session และใส่ชื่อ hostname หรือ IP Address แล้ว คลิกที่ปุ่ม Open เพื่อ Login เข้าไปที่ VNC Server เตรียม session SSH ไว้สำหรับให้ VNC Client เกาะไปด้วย
  • เปิดโปรแกรม VNC Client ขึ้นมาสักตัว ซึ่งผู้เขียนใช้ Ubuntu 13.10 จะมี Remmina มาให้แล้ว
  • Profile กำหนดค่า Name ให้เรียบร้อย แล้วแต่จะตั้ง
  • มาที่กลุ่ม Tab ด้านล่างเราจะตั้งค่าเฉพาะ Basic tab เท่านั้น ค่าที่ tab อื่นๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน
  • ภายใน Tab Basic ที่ Server ตั้งค่าเป็น localhost:5901 และไปที่ Password ใส่รหัสที่เราตั้งไว้ตอน Setting VNC Server ด้วยคำสั่ง vncpasswd นั่นแหละ
  • สำหรับ Quality เลือกตามความต้องการได้เลยในที่นี้ ขอเลือกเป็น Good ภาพชัดดี
  • สุดท้ายคลิก Connect

Related
Refer
  • ผู้เขียนใช้ Debian 6 เป็น VNC Server และ ใช้ Ubuntu 13.10 เป็น Client

Monday, November 4, 2013

Tunnelling VNC remote Over SSH on Windows via putty

Setting at VNC Server
  • ให้เรา remote ผ่าน ssh เข้าไปที่ VNC Server และพิมพ์คำสั่ง เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อโดยในที่นี้จะ remote แล้วได้ resolution  vnc server ที่ความละเอียด 1024*768 พิมพ์เลขให้ถูกต้องนะครับ ใช้ตัวอักษร เอ็กพิมพ์เล็ก (x) แทนการคูณ (เราสามารถแก้ความละเอียดได้ตามความต้องการ)
$ vncserver -geometry 1024x768
  • ทำการแก้ไขไฟล์ graphic config ของ vnc ซะหน่อย (เพราะ server ของผู้เขียนเป็น debain ค่าเริ่มต้นของไฟล์นี้จะเป็นแบบ x desktop ซึ่งจะมีหน้าจอสีเทา แค่นั้นเมื่อรีโมทไป จึงต้องแก้ค่า คอนฟิกใหม่) ด้วยคำสั่ง
nano ~/.vnc/xstartup
  • แก้ไขให้เป็นประมาณนี้ (ในที่นี้จะ vnc เข้าไปแล้วใช้ gnome เป็น desktop) แก้เสร็จทำการ save ซะ
#!/bin/sh
[ -r $HOME/.Xresources ] && xrdb $HOME/.Xresources
xsetroot -solid grey
vncconfig -iconic &
xterm -geometry 80x24+10+10 -ls -title "$VNCDESKTOP Desktop" &
#startkde &
gnome-session &
  • ทำลาย session vnc ที่สร้างไว้เมื่อตะกี้ก่อน เพื่อโหลดค่า graphic config ใหม่ซะหน่อย
$ ps -ef | grep vnc
user 19935 19884 0 10:46 pts/0 00:00:00 grep vnc //ผลแบบนี้คือ ไม่มี vnc session รันอยู่
  •  ถ้ามี vnc session รันอยู่ก็ kill ให้เรียบร้อยซะ ด้วยสิทธิ์ที่สามารถ kill ได้นั่นแหละ 
$ kill [pid vnc] 
  • ถ้ามันขึ้นประมาณบรรทัดนี้ก็ไม่ต้อง kill ให้เสียเวลา แสดงว่าไม่มี vnc session รันอยู่ครับ 
  • ตั้งค่า password vnc ซะหน่อยด้วยคำสั่ง (มันจะให้ใส่ password 2 ครั้ง)
$ vncpasswd
  • พิมพ์คำสั่ง เพื่อสร้างช่องทางเชื่อมต่อ อีกครั้ง 1
$ vncserver -geometry 1024x768
  • บน remote server ของผู้เขียนได้ผลลัพธ์ประมาณนี้ เมื่อรันคำสั่งด้านบน
New 'myname-host:1 (env)' desktop is myname-host:1
Starting applications specified in /home/myname/.vnc/xstartup
Log file is /home/myname/.vnc/myname-host:1.log
You have new mail in /var/mail/myname
  • ผลลัพธ์ของผู้เขียนจะสร้าง display 1 เตรียมไว้ให้ remote เข้าไป จำเลขนี้ไว้ เลข 1 เราจะนำค่านี้ไปคอนฟิกใน putty อีกรอบ 
  • ทางฝั่ง remote server พร้อมให้ remote แล้ว

Setting at client
  • เปิด putty แล้ว login เข้าไปที่ VNC Server ให้เรียบร้อย เพราะเราจะใช้ SSH session นี้ให้ vnc client เกาะไปด้วยจ้า ซึ่งบน VNC Server เราได้สร้างช่องเชื่อมต่อแล้วด้วยคำสั่ง แรกในการตั้งค่าที่ VNC Server ซึ่งถ้า session SSH นี้ปิดไป VNC Client ที่เรากำลังเชื่อมต่ออยู่น่าจะถูกปิดไปด้วยประมาณนั้น
  • จากนั้นคลิกขวาที่ title bar ของ putty เลือก Change Settings...
  • ไปที่ Connection => SSH => Tunnels ตั้งค่า Source port เป็น 5901
  • และ Destination เป็น localhost:5901 
  • สุดท้ายคลิก Add ตามด้วย Apply 
  • หมายเหตุ : ถ้าเลขที่เราได้จากคำสั่ง vncserver -geometry 1024x768 ด้านบนเป็นเลขอย่างอื่นที่ไม่ใช่เลข 1 ก็ให้ตั้งค่า Source port และ Destination ให้ลงท้ายด้วยเลยตัวนั้น เช่น ถ้าได้เลข display 2 ก็ให้ตั้งค่า Source port เป็น 5902 และ Destination เป็น localhost:5902 
  • สุดท้ายเปิด vnc viewer ขึ้นมาพิมพ์ localhost:5901 ที่ VNC Server ถ้าตั้งค่าสำเร็จมันก็จะให้เราใส่รหัสผ่าน ที่ได้ทำการตั้งไว้ (ด้วยคำสั่ง vncpasswd จำได้หรือป่าวตอน คอนฟิก vnc server)


เพิ่มเติม
  • เราสามารถ เลือก x desktop ได้ว่าจะให้รันอะไร ตอนเริ่มต้นในที่นี้กำหนดให้เป็น gnome ที่จะถูกเลือกตอน remote เข้าไป 
  • ถ้าเราต้องการได้ kde เป็น x desktop ที่จะถูกเรียกตอน remote ให้เราแก้คอนฟิกไฟล์ 
  • nano ~/.vnc/xstartup เปลี่ยนค่า จาก gnome-session & ไปเป็น startkde &
  • การ remote ครั้งนี้ client เป็น windows 8 และ VNC Server เป็น Debian 6 นะจ้ะ
  • สุดท้ายที่ server เราต้อง install หรือ enable VNC Server ก่อนนะจ้ะ อย่าลืม
  • และสุดท้ายจริงๆ คือ ห้ามปิด putty ที่ ตั้งค่านี้ไว้เด็ดขาด เพราะ vnc มันอาศัย session ของ putty นี้ทำงานอยู่ครับพี่น้อง
Refer

Tunnelling MySQL Over SSH on Windows 8 via putty

  • Firewall มันไม่เปิดให้เราหรอก 3306 แต่เราไม่ง้อ ในเมื่อ 22 ยังผ่านตลอด
Solved
  • เปิด putty ขึ้นมา Login ไปที่ remote host ให้เรียบร้อย ด้วยวิธีใดก็ได้ จากนั้น คลิกขวาที่ title bar ของหน้าต่าง putty นั้น เลือกไปที่ Change Settings ...
  • ไปที่ Connection => SSH => Tunnels
  • Source port คือ พอร์ตหมายเลขจำลองที่เราจะใช้ mysql client connect ที่เครื่อง localhost เอง ในที่นี้ใส่เป็น 3307 แล้วกัน 
  • Destination คือ พอร์ตปลายทางที่จะ remote เข้าไปโดยผ่าน SSH session putty ตัวนี้ ในที่นี้คือ MySQL 3306 ให้เราใส่เป็น localhost:3306 หรือ 127.0.0.1:3306 ไป (คือ server ตั้ง MySQL ไว้ที่พอร์ตใหนก็ใส่หมายเลขนั้นแหละ) จากนั้น คลิก Add และสุดท้าย Apply ให้เรียบร้อย
  • คำสั่งลอง connect ไปที่ remote host mysql ดูด้วย pattern command ประมาณนี้ ก็ได้
mysql [-h host] -P -u -p [database]

ตัวอย่างการเชื่อมต่อ
mysql -h localhost -P 3307 -u username -p
หรือ 
mysql -P 3307 -u username -p databsename
เพิ่มเติม

  • ในการใช้งานของผู้เขียนเอง เครื่องผู้เขียนได้ลง MySQL ไว้บนเครื่องด้วย ทำให้เครื่องผู้เขียนเปิดพอร์ต 3306 ไว้อยู่ Source port จึงตั้งเป็น 3306 ไม่ได้ เพราะมันจะเชื่อมต่อ service mysql บนเครื่อง local 
  • เราไม่จำเป็นต้องตั้งเป็น 3307 ก็ได้ แต่ที่ตั้งเพราะให้ใกล้เคียงกับ พอร์ตมาตรฐานของ MySQL เค้า
  • ถ้าเรา Source port เป็น 3306 ตัว คำสั่งเชื่อมต่อ ไม่ต้องใส่ option -P ก็ได้เพราะถ้าไม่ใส่มันเป็นมีค่าเริ่มต้นเป็น 3306 อยู่แล้ว
Related
Refer

How to config thai language for Gedit on Ubuntu 13.10

ปัญหาดังภาพ














  • แต่ก่อนใช้ gconf-editor เพิ่ม encoding TIS-620 ได้ เลย แต่ 13.10 ไม่มี gconf-editor ให้เราใช้
  • เลยต้องใช้ dconf-editor แทน
Solved
sudo dconf-editor
org => gnome => gedit => preferences => encodings
ที่ autodetected เพิ่ม TIS-620 ต่อหลัง UTF-8
 และ reboot สัก 1 รอบน่าจะแก้ได้แล้ว
Related

Friday, November 1, 2013

Remove Hao123.com

http://malwaretips.com/blogs/remove-hao123-virus/




  • ประเด็นคือ มันได้มา สงสัยจะเป็นตอนติดตั้ง freeware ที่เราโหลดมาจาก filehippo.com แน่ๆ เลย
  • เป็นหมดเลย ทั้ง ie, firefox, chrome ลองพยายามปรับ default page startup ของแต่ละโปรแกรมแล้วนะ ไง๋มันยัง แสดงเป็นหน้าแรกอีกหว่า


Solved

  • มันมึนมากเลย มันมาแก้ค่า startup ใน properties ของ shortcut บนหน้า desktop เรา (Windows OS) โดย ใส่ url มันต่อ จาก ชื่อพาธโปรแกรม หว่า หน้ามึนดีแท้
  • ลบ shortcut บน desktop ออก แล้วสร้างใหม่ แค่นี้ก็มันก็จะหายไปแหละ

How do I fix a “Problem with MergeList”

http://askubuntu.com/questions/30072/how-do-i-fix-a-problem-with-mergelist-or-status-file-could-not-be-parsed-err

Solved

sudo apt-get clean
sudo apt-get update
sudo apt-get -f install
sudo dpkg --configure -a
sudo apt-get upgrade

View remote SSH, FTP, and SFTP servers using Nautilus

http://linux.about.com/od/ubuntu_doc/a/ubudg10t9.htm

  • Make sure the Nautilus Location Bar is open (see the section called "Open the Location Bar inNautilus").
  • In the Location Bar, enter the following:
    For SSH, use:
    ssh://username@ssh.server.com
    For FTP, use:
    ftp://username@ftp.server.com
    For SFTP, use:
    sftp://username@sftp.server.com
    Replace username with your username and replace everything after the @ symbol with the server's address. You will be prompted for a password if needed. If there is no username (anonymous) omit the username and the @ symbol.
    Alternatively, to specify your password manually, change one of the above like so:
    ftp://username:password@ftp.server.com
  • To access remote servers easily through Nautilus, add a permanent bookmark to the server by selecting Places->Connect to Server... and entering the details for the remote server.

Popular Posts