http://myblogknowledge.blogspot.com/2009/08/access-point-switching-hub-access-point.html
http://www.adslthailand.com/board/showthread.php?t=18969&page=1
คัดลอกจาก
http://myblogknowledge.blogspot.com/2009/08/access-point-switching-hub-access-point.html
access point คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกับ switching hub ของระบบเครือข่ายปกติค่ะ โดย access Point ทำหน้าที่รับส่งข้อมูลทางคลื่นความถี่กับ Wireless Card ซึ่งติดตั้งบนเครื่องของผู้ใช้แต่ละคน
Access Point หมายถึง อุปกรณ์จุดเข้าใช้งานเครือข่ายไร้สาย ทําหน้าที่รองรับการเชื่อมโยงจากเครื่องลูกข่าย
แหล่งอ้างอิง: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=604184862815ae39&pli=1
http://www.lib.ru.ac.th/service/lib_wireless_lan.html
Access Point หมายถึง อุปกรณ์จุดเข้าใช้งานเครือข่ายไร้สาย ทําหน้าที่รองรับการเชื่อมโยงจากเครื่องลูกข่าย
แหล่งอ้างอิง: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=604184862815ae39&pli=1
http://www.lib.ru.ac.th/service/lib_wireless_lan.html
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwKK36Pp5Mc1ve_rSxG1Ez6_fJEV_b1JQbi6hj4MtQlCnWWf6Q7WeH9b7BaWrszd_1E2EFxC7b1LFwpWdVzE2mXNoyad6YwZsznvVQMOHGH0iEhJYLJDoucLIl428ykk_5eQUNVw/s320/oov_access_point_diagram2.gif)
access point diagram
ภาพจาก:http://www.hp.com/sbso/wireless/setup_wireless_network.html
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6P0bUedD5m4oD7SH9SpEG3_rqD84UEV1ppCBCXOLB33TNsMq0I6WEBZncDN-yxPDYfBC5BwdvIn1KQtT8Y4yzlxe0zusKShuA1kpkAN9ofaCzs63RpqhpHIhXfi0KD8wGc3Dpkg/s320/AccessPoint.jpg)
access point
ภาพจาก: locationproject.blogspot.com/
4 Mode Access Point
Access Point หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าAP (เอ-พี) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น “จุดกระจายและเชื่อมต่อสัญญาณ ไร้สาย เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายทุกชนิด (ที่ทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11) เข้าด้วยกัน นอกจากจะทำหน้าที่เป็น Access Point แล้ว AP ที่ดียังสามารถทำหน้าที่อื่นๆ เพื่อช่วยให้ระบบเครือข่ายไร้สายตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถึงขีดสุด หน้าที่ต่างๆ ของ AP ที่ดี ที่จะช่วยสร้างระบบเครือข่ายไร้สายของคุณให้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง
Mode แต่ละโหมดของ Wireless Access Point มีไว้ใช้ประโยชน์ใดบ้าง
AP Mode
1. Default: Access Point Mode แรก คือ Access Point Mode ซึ่งเป็นหน้าที่หลักโดยกำเนิดของ AP ทุกตัวและเป็นที่มาของชื่อเรียกของเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้ AP ที่ทำหน้าที่เป็น Access Point จะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนสวิตซ์ในการสร้างระบบเครือข่ายผ่านสาย (ไม่ว่าจะเป็นสาย UTP หรือสาย Fiber Optic) โดย AP จะทำหน้าที่ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับรับระบบเครือข่ายไร้สายเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Computer, Print Server, Camera หรือ อุปกรณ์พกพาต่างๆ (Smart Phone /PDA) เพื่อให้ใช้ทรัพยากรในวงแลนรวมกัน ทั้งซอฟท์แวร์ อาทิ แชร์ไฟล์ แชร์โปรแกรม แชร์อินเตอร์เน็ต หรือ ฮาร์ดแวร์ อาทิ การแชร์ Printer เป็นต้น Access Point Mode นี้จึงเป็นหัวใจหลักของการสร้างระบบเครือข่ายไร้สาย ที่ต้องการจะเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายเข้าด้วยกัน และเป็นเพียงโหมดเดียวที่ให้เครื่องลูกข่าย เชื่อมโยงเข้ากับ Access Point ได้ นอกจากนั้นจะเป็นการเชื่อมกันระหว่าง Access Point ด้วยกันเอง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSnIqmxdvA8Lmcc0bZ9Ydd5d6Vn-jUoL06T1A5sdTD3hB7Kuo6B63K9i7dNnRoCHvJkZsYLF-YNeE5oFOZYP8N-yZyRlAeZzXDo58vUk7gUh7LCSgumJtVXKtOjPJ5BBQl8u6Qvw/s320/accesspoint-sm.jpg)
2. Client Mode (AP Station / AP Client) ใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่ในลักษณะเดียวกันกับ
Wireless Card (หรือ Wireless Adapter อื่นๆ) คือทำหน้าที่เป็นตัวลูกข่าย และเชื่อมต่อผ่านทางสัญญาณไร้สายกับ AP เท่านั้น โดยจะไม่สามารถกระจายสัญญาณไร้สายไปยังอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ ได้อีก การใช้งานใน Mode นี้เหมาะสำหรับการอำนวยความสะดวกให้กับStation ที่ไม่พร้อมสำหรับการใช้งานไร้สาย แต่พร้อมสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งในวง LAN เช่น เครื่องชั่งน้ำหนักและพิมพ์ Label ในศูนย์การค้า (โดยเฉพาะในแผนกผักผลไม้) ที่ใช้ดึงข้อมูลจาก Database แล้วคำนวณออกมาเป็นราคาสินค้า โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ ดังกล่าวกับระบบฐานข้อมูลด้วยสายซึ่งเกะกะ หรือตั้งอยู่ในจุดที่ไม่สะดวกในการติดตั้งสายหรือจะใช้ AP ใน Mode นี้สำหรับการเชื่อมต่อวงแลน 2 วงที่อยู่ห่างกัน เข้าด้วยกัน หรือจะใช้กับเครื่อง Macintosh ที่ไม่ต้องการซื้อ Wireless Card ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงมาใช้งาน โดยสามารถนำ AP มาใช้งานแทนได้
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEik-VuRKgVX1_UHZiMu2BcbxT9ywCi9vm81RT9ne4cadMzgT2QQfR1P9PsUQPD4UNItGyb89t0q9M-WKrWfLNfEOPW5o-F37GD1WcWPwF_gNdRnD6OoIs3H5hCwKO8O4nERU-aFYg/s320/wirelessclient-sm1.jpg)
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNlf7q299kaWM2UDwf5l4AGcGUiqXgUrTey4gsyYAwv1mwXZieDiiZpHX-_rABWyDmr5-mcvkyVxkZz4nWyAWt3tURU6VACKU3DSKUn6LyzxKFJPdPzocw4xj9kaTWC5PMX_7AEw/s320/wirelessbridge-sm2.jpg)
4. Bridge Mode (WDA: Wireless Distribution Architecture / WDS: Wireless Distribution System) สำหรับใน Mode นี้ AP จะทำหน้าที่เหมือนเป็นสะพาน เชื่อมระหว่างวงแลนเข้าหากัน จะเรียกง่ายๆ ก็คือ Bridge Mode ทำให้วงแลน 2 วง ที่ต่างคนต่างทำงานกันเป็นปกติอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่อเข้าหากันได้ และต่างก็สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของอีกวง แลนหนึ่งได้ (แตกต่างจาก Client Mode ตรงนี้ Client Mode จะไม่สามารถเชื่อมต่อไปยัง อุปกรณ์ไร้สายเครื่องอื่นๆ ได้ แต่ใน Bridge Mode นี้ทำได้) การเชื่อมต่อในลักษณ์ Bridge Mode ทำได้ ทั้งแบบ Point to Point (PtP) คือเชื่อมระหว่างวงแลน 2 วงเข้าด้วยกัน และการเชื่อมต่อแบบ Point to Multi-Point (PtMP) นั่นก็คือสามารถเชื่อมต่อวงแลนมากกว่า 2วงแต่สูงสุดไม่ควรจะเกิน 7 Bridge เนื่องจาก จะทำให้การเชื่อมต่อช้าลงเนื่องจากความหน่วง (เช่นเดียวกันกับ Repeater Mode) ไม่ใช่ AP ทุกตัวที่จะสามารถทำงานได้ครบ ทั้ง 4 Mode ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจเลือก AP ตัวใด ควรสอบถามจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ให้ แน่ใจก่อนว่า AP ที่คุณซื้อนั้นสามารถใช้งานใน Mode ที่คุณต้องการได้ เพื่อให้การจ่ายเงิน ของคุณเกิดประโยชน0สูงสุด ที่สำคัญ AP ในแต่ละ Mode ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการ ใช้งานที่แตกต่างกันไป จะเลือกใช้ Mode ใด ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ และลักษณะของระบบเครือข่ายที่คุณต้องการ ดังนั้นก่อนที่จะสร้างระบบเครือข่าย สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาความต้องการให้ดี เพื่อที่จะได้ออกแบบระบบเครือข่ายที่รองรับการทำงานของคุณอย่างแท้จริง
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6rNyr5scUuZ74rREZQWwq_1Y3FBu3gZK_rlc_aRU2pVSiAe8KJ5F4YGM-eqqPi4RzfxC0QVPVVa6Vs05F-7hHT9R3GIjFOy8V9p06p3P2CoRDrEkSmsmd1ryIUofiCgBZMD7lEQ/s320/multi-pointbridge-sm.jpg)
5. Repeater Mode โหมดนี้เป็นเหมือนการขยายระยะส่งของระบบ Wireless LAN ครับ โดยติดตั้ง Access Point เพิ่มขึ้น บริเวณที่สัญญาณของ Access Point ตัวหลักเริ่มจาง ทำให้สามารถเพิ่มระยะส่งของทั้งระบบออกไปอีก
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLK5fGPcGUDOswlqrbs3VEaRYl4tn69dhyphenhyphen4lTzkwelNWZdDwvdbC5_VdKTpnAyx4JvRLd6e9yxg32ACwDvdJfTIAJjpJJRPBCpspvFfb-qWx67X62k50buUBUiQ_PvZQlVrmebgQ/s320/repeater-smmmm.jpg)
ข้อมูลและภาพจาก :www.thelordofwireless.com วันจันทร์ที่17 สิงหาคม 2552
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmugocsy0Wp5JHQCRYR3K0wtlIKoHbyw3__luYz2ATJXwxh8DxYi_coCfj_QLWnjM3b3gnwDdqSo0l2bvhE3xpTyQlBsDCfgBcKxqhyksXJ-PdHoQIyGuRPUuZ4sxocs5CQIGFAA/s320/maindevice.gif)
เนื่องจากอุปกรณ์ Access Point ถือเป็นหัวใจสำคัญของการติดต่อสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และปาล์มท็อปที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Wi-Fi NIC ไว้ภายใน โดย Access Point จะทำหน้าที่ทดแทนสายแลนในกรณีของการเชื่อมต่อแบบใช้สาย ดังนั้น ผู้ออกแบบระบบเครือข่ายแลนไร้สายจึงต้องมีความเข้าใจแนวทางในการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานสำหรับผู้ใช้งานทุกคน
เริ่มจากการกำหนดขอบเขตของพื้นที่การให้บริการแลนไร้สายก่อนว่าต้องการให้บริการเฉพาะพื้นที่ภายในอาคารสำนักงานหรือจะเปิดให้บริการแบบสาธารณะ เช่น ในย่านแหล่งชุมชน สนามบิน หรือห้างสรรพสินค้า หลังจากการกำหนดพื้นที่แล้วผู้ออกแบบระบบก็จะทำการประมาณจำนวนผู้ใช้บริการที่จะนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อแลนไร้สายในบริเวณนั้นๆ ซึ่งท้ายที่สุดก็จะสามารถคิดคำนวณได้ว่าจะต้องใช้อุปกรณ์ Access Point ติดตั้งในบริเวณที่เปิดให้บริการเป็นจำนวนเท่าไร จากมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณดังกล่าววางจำหน่ายควบคู่ไปกับอุปกรณ์ Access Point ของผู้ผลิตหลายๆ ราย สิ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบที่แท้จริงอยู่ที่การหาตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ซึ่งในพื้นที่หนึ่งๆ ที่ต้องการเปิดให้บริการแลนไร้สายอาจมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ Access Point เป็นจำนวนหลายๆ ชุด ทั้งนี้จำเป็นต้องมีการสำรวจ พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point โดยพิจารณาจากความสะดวกในการติดตั้ง ความเหมาะสมของตำแหน่งที่จะทำให้สัญญาณคลื่นวิทยุกระจายไปยังพื้นที่ส่วนต่างๆ ได้ทั่วถึงมากที่สุด ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงจำนวนของผู้ใช้งานในบริเวณนั้นๆ ด้วยเช่นกัน อุปกรณ์ Access Point ที่ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุด้วยกำลังส่งสูงสุด 100 มิลลิวัตต์ ในพื้นที่เปิดโล่ง จะสามารถครอบคลุมรัศมีทำการได้ถึง 46 เมตร แต่หากทำการติดตั้งภายในอาคารซึ่งมีโครงสร้างและส่วนประกอบต่างๆ ที่ทำหน้าที่ลดทอนความแรงของสัญญาณ ก็มักจะพบว่าพื้นที่ใช้งานจริงจะหดแคบลงกว่าระยะทางตามทฤษฏี โดยส่วนใหญ่งานดังกล่าวจึงจำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการติดตั้งอุปกรณ์รับส่งคลื่นวิทยุเข้าช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตามผู้เขียนก็เคยมีประสบการณ์ในการลองผิดลองถูกหาตำแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ภายในอาคาร ซึ่งแม้จะต้องใช้ความพยายามในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสักระยะหนึ่งเพื่อให้ได้ผลการใช้งานที่ดีที่สุด แต่ก็ถือเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งมักจะมีราคาค่อนข้างสูง นอกจากนั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้ช่วยในการออกแบบเครือข่ายส่วนใหญ่ก็มีการทดสอบการรับส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ Access Point โดยรายงานคุณภาพของการแพร่กระจายคลื่นวิทยุ ทำให้ช่วยลดความวุ่นวายในการประเมินผลการติดตั้งลงไปได้มากเช่นเดียวกัน ปัญหาสุดท้ายจึงเป็นเรื่องของการจัดความถี่วิทยุให้กับอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุด เนื่องจากอุปกรณ์ Access Point ทำหน้าที่เป็นทั้งตัวรับและส่งความถี่วิทยุ เพื่อติดต่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ Wi-Fi NIC ผู้ออกแบบระบบเครือข่ายแลนไร้สายจึงจำเป็นต้องทำการวางแผนความถี่ (Frequency Planning) เพื่อกำหนดความถี่ใช้งานที่เหมาะสมให้กับอุปกรณ์ Access Point ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เปิดให้บริการในย่านความถี่วิทยุใช้งาน 2.4 กิกะเฮิรตซ์นั้น สามารถแบ่งออกเป็นช่องความถี่ย่อยๆ 3 ช่องกิกะเฮิรตซ์นั้น สามารถแบ่งออกเป็นช่องความถี่ย่อยๆ 3 ช่องสำหรับจัดสรรให้กับอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุดโดยเป็นไปตามที่แสดงในรูปที่ 3 แต่ละช่องความถี่จะถูกแยกห่างกันช่องละ 25 เมกะเฮิรตซ์ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรบกวนกันเองระหว่างอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุด ในทางเทคนิคการติดตั้งทั่วไปนิยมกำหนดชื่อให้กับความถี่ทั้ง 3 ช่องอย่างชัดเจนเพื่อความสะดวกในการอ้างอิงของช่างเทคนิค โดยเรียกความถี่ช่อง 1, ช่อง 6 และช่อง 11 ซึ่งแต่ละช่องมีความถี่ศูนย์กลางในการรับส่งคลื่นวิทยุเป็น 2.412 กิกะเฮิรตซ์, 2.437 กิกะเฮิรตซ์ และ 2.462 กิกะเฮิรตซ์ ตามลำดับ โดยแต่ละช่องความถี่จะใช้ความกว้างความถี่ในการรับส่งเท่ากับ 22 เมกะเฮิรตซ์ตามมาตรฐานโดยทั่วไป อย่างไรก็ตามในการติดตั้งเครือข่าย LAN ไร้สายบางแห่ง ผู้ติดตั้งสามารถเลือกกำหนดได้ว่าจะให้อุปกรณ์ Access Point ใช้ความถี่แคบลงกว่า 22 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะทำให้มีช่องความถี่สำหรับเลือกใช้งานมากขึ้น
แนวทางในการออกแบบติดตั้งและกำหนดความถี่วิทยุให้กับอุปกรณ์ Access Point นั้นก็ทำได้หลายแบบ รูปที่ 4ก. เป็นการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point จำนวน 3 ชุดเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการสำหรับผู้ใช้งานในบริเวณหนึ่งๆ โดยอุปกรณ์ Access Point แต่ละชุดมีการส่งรับความถี่แต่ละช่องแตกต่างกันไป ผู้ที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งที่แบบตั้งโต๊ะ และเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ไปจนถึงเครื่องปาล์มท้อป สามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับเครือข่าย Wi-Fi ได้ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ครอบคลุมของอุปกรณ์ Access Point จุดใด ทั้งยังสามารถถือเครื่องคอมพิวเตอร์ของตนเอง (ในกรณีของเครื่องโน้ตบุ๊ค และปาล์มท้อป) ข้ามจากพื้นที่
ครอบคลุมจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งได้โดยไม่เกิดการสะดุดของการสื่อสารแต่อย่างใด
สำหรับรูปที่ 4ข. เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point โดยผู้ออกแบบเครือข่ายสามารถเพิ่มจำนวนอุปกรณ์ Access Point เข้าไปในพื้นที่ให้บริการที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ชุดหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เพื่อเพิ่มความสามารถไปการรองรับผู้ใช้บริการในบริเวณนั้น ทั้งนี้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ในพื้นที่จุดเดียวกันได้สูงสุดถึง 3 ชุด ผลที่ได้จะเปรียบเสมือนกับได้ทำการเพิ่มความสามารถในการรับส่งข้อมูลจาก 11 เมกะบิตต่อวินาทีไปเป็น 33 เมกะบิตต่อวินาที อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนติดตั้งจะต้องทำความเข้าใจอยู่เสมอว่า เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะยังคงมีข้อจำกัดในการรับส่งข้อมูลได้เพียง 11 เมกะบิตต่อวินาทีเท่าเดิม การติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ในลักษณะเดียวกับรูปขวาของรูปที่ 4ข. นั้นมีจุดประสงค์เพื่อการ รองรับจำนวนผู้ใช้งานมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกาก็มีความนิยมในการติดตั้งเครือข่ายแลนไร้สายแบบ Wi-Fi สำหรับการติดต่อสื่อสารในพื้นที่สาธารณะภายนอกอาคาร ตัวอย่างดังเช่นในพื้นที่ย่าน Silicon Valley มลรัฐแคริฟอร์เนีย ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเชื่อมต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาเข้ากับอุปกรณ์ Access Point มากขึ้นเรื่อยๆ มีการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point ภายนอกอาคารเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการตามถนนสายหลักๆ ผู้เขียนเคยมีความสงสัยว่ากำลังเพียง 100 มิลลิวัตต์กับรัศมีการให้บริการ 46 เมตร ของอุปกรณ์ Access Point ภายนอกอาคารเพื่อสร้างพื้นที่ให้บริการตามถนนสายหลักๆ ผู้เขียนเคยมีความสงสัยว่ากำลังส่งเพียง 100 มิลลิวัตต์กับรัศมีการให้บริการ 46 เมตร ของอุปกรณ์ Access Point จะมีความน่าสนใจสักเท่าไร นึกไม่เห็นภาพว่าจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ Access Point กี่ร้อยกี่พันชุดเพื่อสร้างคุณภาพของการติดตั้งอุปกรณ์ Access Point กี่ร้อยกี่พันชุดเพื่อสร้างคุณภาพของการติดต่อสื่อสารผู้เขียนมาทราบในภายหลังว่าในการใช้งานจริงนั้น ผู้ใช้บริการจะใช้เสาอากาศกำลังขยายสูง ติดตั้งเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Wi-Fi NIC เพื่อขยายความแรงของสัญญาณสัญญาณที่ถูกส่งมาจากอุปกรณ์ Access Point และในทางกลับกันก็ทำการ
ขยายสัญญาณที่ส่งจากอุปกรณ์ Wi-Fi NIC กลับคืนไปยังอุปกรณ์ Access Point
ตัวอย่าง พื้นที่เปิดให้บริการแลนไร้สายในย่าน Silicon Valley นั้นมีแสดงในรูปที่ 5 โดยด้านซ้ายเป็นการแสดงพื้นที่ให้บริการทั้งหมดสำหรับรูปทางขวามือแสดงรายละเอียดเฉพาะในย่าน Sunnyvale และบริเวณใกล้เคียง โดยจุดกลมที่ปรากฏบนถนนและทางหลวงแผ่นดินเป็นพื้นที่ครอบคลุมของ Access Point แต่ละจุดซึ่งในกรณีของการติดตั้งเสาอากาศกำลังขยายสูงเข้ากับอุปกรณ์ Wi-Fi NIC จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถอยู่ห่างจากรัศมีทำการแต่ละวงได้มากขึ้น รูปที่ 6 เป็นประเภทของเสาอากาศที่นิยมใช้งาน และตัวอย่างการติดตั้งใช้งานเสาอากาศเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย LAN
ไร้สายแบบ Wi-Fi ในกรณีภายนอกอาคาร
ข้อมูลและภาพจาก: http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/techno2/hotit/wireless/setup.htm
No comments:
Post a Comment