Monday, September 14, 2009

ไขข้อข้องใจ ใช้แบตเตอรี่ notebook อย่างไรไม่ให้เสื่อมเร็ว

  • เป็นเรื่องที่เราสนใจพอดี เลย
  • คัดลอกทั้งหมด มาเก็บไว้เพื่อ ตัวเอง แค่เนี๋ย
posted on 09 Feb 2009 22:33 by hackerlife


คอมพิวเตอร์พกพาสมัยนี้มีอะไรดีๆเยอะนะครับ
ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง ชิฟที่เจ๋งกว่าเดิม
การประมวลผลก็เร็วกว่าเดิม
แต่อย่างหนึ่งที่โน๊ตบุ๊คยังไม่เปลี่ยนแปลง
ก็คือ มันต้องพึ่งแบตเตอรี่

ทุกๆครั้งที่เราเปิดเจ้าโน๊ตบุคตัวโปรด
มันก็ทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่
ลดลงแล้วหล่ะครับ ส่วนใหญ่แล้ว
เราจะใช้งานแบตเตอรี่ได้เต็มที่
สูงสุดก็ราวๆ 3-4 ชั่วโมง


และต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยยืดอายุการใช้งาน
แบตเตอรี่โน๊ตบุคของคุณครับ


1. Defrag คอมพ์เสียบ้าง
การ Degragmentation คอมพิวเตอร์เนี่ยจะช่วยให้
การทำงานของโน๊ตบุคดีขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น
เพราะมันจะทำให้เวลาในการเข้าถึงข้อมูลลดน้อยลง
การจะเข้าไปอ่านข้อมูลใน Hard Drive จะต้อง
ใช้แบตเตอรี่ ผลกระทบมันอาจะน้อยนิด แต่ถ้าเรา
หมั่นรักษา hard drive ของเรา ก็ย่อมส่งผล
ต่อการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ด้วย ดังนั้นจง defrag คอมบ้างนะคับ

2. ตัวไหนไม่ใช้งานก็เอาออกซะ
ลองกด Ctrl-Alt-Del ดูนะครับ เพื่อจะได้หน้าต่าง
Windows Task Manager หากว่าคุณไม่ได้ใช้งาน internet
ก็ปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกไปซะ เช่น firewall
พยายามปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นในการใช้งาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมตอน start-up (เมื่อเปิดเครื่อง
โปรแกรมเหล่านี้จะรันอัติโนมัติ) เราสามารถปิดโปรแกรม
ที่เป็น start-ups program ได้โดยการแก้ไขที่
System Configuration วิธีการก็คือ
ไปที่ Run แล้วพิมพ์ msconfing กด enter
แล้วก็ไปที่แถบ Startup ให้ uncheck โปรแกรม
ที่คุณไม่ต้องการให้มันรันอัติโนมัติตอนเปิดเครื่อง
แล้วก็รีสตาร์ทเครื่องไปหนึ่งครั้ง

3. หยุดการทำงานของ scheduled tast
ซึ่งอาจจะเป็นการตอนสแกนไวรัส หรือตอน defrag คอม
แต่ต้องมั่นใจว่าเราหยุดกระบวนการพวกนี้ไว้ก่อน
เฉพาะตอนที่แบตเตอรี่เราใกล้จะหมดแล้ว ถ้าหาก
แบตยังเหลือเีพียงพอ ก็ปล่อยให้มันทำงานไป

4. Unplug external devices
USB เป็นตัวการสำคัญที่สุดเลยแหล่ะ
ที่เป็นตัวกินพลังงานจากแบตเตอรรี่
ให้ถอด external device ออก เช่น เมาส์
PC cards, Wi-Fi,ฺีฺเครื่องเสียง,ฺBluetooth
หรือ iPod ก็จะทำให้เราใ้ช้งานได้นานขึ้น

5. Empty the CD/DVD Drives
ถ้าไม่ได้จะใช้งานจากแผ่น CD/DVDs ก็เอา
แผ่นออกจากคอมฯเสียเถดครับ เพราะถ้า
เกิดเราเอาแผ่นค้างไว้ เครื่องก็จะมาอ่าน
CD ด้วย ทำให้สูญเสียพลังงานของแบต
ไปโดยเปล่าประโยชน์

6. Lower the lights
จอ LCD ของโน๊ตบุคก็เป็นอีกตัวที่ใช้พลังงานเยอะ
ยิ่งใช้แสงจ้ามากๆ ก็ยิ่งใช้แบตมาก ดังนั้น
ควรเปิดแสงให้สว่างพอที่คุณจะมองเห็น ไม่ต้อง
จ้าเป็นไฟฉายหรอกนะครับ คุณสามารถแก้
ไขความจ้าของหน้าจอคอมได้ ด้วยการเปลี่ยนค่า
ที่ Display Setting (คลิกขวาหน้าจอ เลือก properties)

7.
ปิด screen saver
ตามนั้นแหล่ะครับ ปิดไปเสีย จะได้ใช้ได้นานขึ้น

8. Hibernate ดีกว่าเลือก Sleep
เวลาเราจะพักการทำงานของโน๊ตบุค
จะมีสองอย่างให้เลือกใช้ไหมครับ นั่นคือ Hibernate
กับ sleep ให้เลือก Hibernate ดีกว่า

วันนี้ผมก็มีมากฝาก 8 วิธีนะครับ หากเจอวิธีอื่นๆเพิ่มเิติม
ก็จะนำมาบอกอีกนะครับ เพื่อนๆคนไหนมีวิธีนอกเหนือ
จากนี้ก็เล่าสู่กันฟังได้นะคับ
(เพิ่มเติมข้อมูล ครับ)
-- มีเสียงเรียกร้องดูวิธีการป้องกันแบตไม่ให้เสื่อมเร็ว ผมเลยเอามาฝากคับ --

สำหรับแบตเตอรี่นี่จะเป็นแบตเตอรี่ที่เรียกว่า Lithium นะคับ
ซึ่งโน๊ตบุคส่วนใหญ่ก็จะใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้ทังนั้นคับ รวมทั้ง
อุปกรณ์พกพาอย่างอื่นๆด้วยคับ เช่น มือถือ กล้องดิจิตอล เป็นต้น
ซึ่งแบตเตอรี่แบบ lithium นั้นถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย
น้ำหนักเบา และไม่ต้องดูแลรักษามากนัก ซึ่งจะต่างจากแบตเตอรี่
แบบชาร์ตไฟใหม่ได้ในสมัยก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
ทั้งในด้านวิธีใช้งาน และการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง
แจ่มจริงๆ....
แบตเตอรี่แบบ lithium ที่พบเห็นบ่อยๆ ในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบบ คือ

1. lithium-ion หรือตัวย่อว่า Li-ion เป็นแบตเตอรี่ที่พบเห็นมากที่สุด
ถือว่าเป็นแบตเตอรี่มาตรฐานสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในทุกวันนี้

2. lithium-ion polymer หรือตัวย่อว่า Li-Poly เป็นแบตเตอรี่ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก
Li-ion โดยจะมีความจุไฟฟ้ามากว่า Li-ion ถึง 20% ในขนาดแบตเตอรี่ที่เท่ากัน
แบตเตอรี่แบบนี้มีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือมีข้อจำกัดเรื่องรูปร่างของเบตเต อรี่น้อยมาก
จึงทำให้สามารถสร้างแบตเตอรี่แบบ Li-Poly ให้มีขนาดเล็กและบางได้
รวมทั้งสามารถสร้างให้มีรูปทรงแปลกๆ ที่ไม่ใช่ทรงกระบอกหรือทรง
สี่เหลื่ยมเหมือนแบตเตอรี่แบบเดิมๆได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม
ต้นทุนการผลิตของ Li-Poly ยังจัดว่ามีต้นทุนสูง
ดังนั้นความนิยมจึงยังมีไม่มากเท่าแบตเตอรี่แบบ Li-ion

ทีนี้ลองพลิกดูแบตเตอรี่ของคุณๆ ดูว่าใช่แบตเตอรี่แบบ lithium
กันรึเปล่า ถ้าใช่แล้ว เรามาไขข้อเท็จจริงเกี่ยวกับแบตเตอรี่ lithium กันเลยดีกว่าครับ

1. ตารางเจ้าปัญหา ความจริงที่ถูกบิดเบือน

หลายๆคนอาจจะเคยเห็นตารางอย่างในรูปข้างบนมาแล้วใช่ไหมครับ
ต้นฉบับที่แท้จริงของตารางข้างบนมาจากเว็บ
ซึ่งในเว็บ และบนหัวตารางก็ระบุไว้อย่างชัดเจนมันคือตาราง
charge/discharge rateซึ่งคำว่า charge rate ไม่ได้หมายความว่า
ใช้แบตไปหมดไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วค่อยชาร์ตไฟกลับคืนเป็น 100%
แต่ charge rate หมายถึงอัตราของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ชาร์ตแบตเตอรี่ในช่วงเวลา เช่น
ถ้าเรามีแบตเตอรี่ขนาด 10 Ah(ampere-hour) แต่เราชาร์ตไฟด้วย
แท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 2 แอมแปร์(ampare) ก็จะต้องใช้เวลาชาร์ตไฟ
เข้าไปในแบตเตอรี่ที่ว่างเปล่าจนไฟเต็มด้วยเวลา 5 ชั่วโมง อัตราการชาร์ตระดับนี้เราเรียกว่าอัตรา C/5
หรือ 0.2C

ส่วนอัตรา 1C ก็คือ ถ้าชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah
ก็ต้องใช้แท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 10 แอมแปร์ก็จะชาร์ดไฟได้เสร็จใน 1 ชั่วโมง

เช่นเดียวกับอัตรา 2C ก็คือ ชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 10Ah
ด้วยแท่นชาร์ตที่ปล่อยไฟชั่วโมงละ 20 แอมแปร์ก็จะชาร์ตไฟได้เสร็จใน 30 นาที

และคำว่า discharge rate ก็จะคล้ายๆกับ charge rate ครับแต่เป็นในทางกลับกันคือเป็นอัตราการใช้ไฟ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตารางข้างต้นแสดงถึงว่าถ้าเราชาร์ตไฟด้วยกระแสไฟสูงใน
เวลาสั้นหรือใช้ไฟจากแบตในปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น
จะทำให้แบตเตอรี่แบบ lithium เสื่อมเร็วขึ้น (จำนวน cycle ลดลง)

ส่วนกรณีที่ยกมาอ้างว่า การชาร์ตไฟบ่อยๆหรือการใช้ไฟจากแบตเตอรี่เพียงเล็กน้อยแล้วรีบชาร์ตกลับให้ เต็ม 100% เป็นการช่วยเพิ่มจำนวน cycle นั้นไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย เพราะการเพิ่มลดของจำนวน cycle ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานว่าใช้มากใช้น้อยแล้วค่อยชาร์ตไฟ แต่จำนวน cycle เกี่ยวข้องโดยตรงกับรูปเครื่องชาร์ตว่าชาร์ตเร็วหรือช้า ถ้ายิ่งชาร์ตเร็วแบตฯก็จะเสี่ยมเร็ว ถ้าเครื่องชาร์ตค่อยๆชาร์ตแบตก็จะเสื่อมช้า
2. นับจำนวน Cycle อย่างไร
จำนวน Cycle คือตัวเลขที่บ่งบอกอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ว่าแบตฯจะเริ่มเสื่อมเมื่อผ่าน การชาร์ตไปนานแค่ไหน ถ้าแปลตรงๆตัวคำว่า cycle ก็คือรอบ คำว่ารอบไม่ได้เท่ากับคำว่าครั้ง ดังนั้นการชาร์ต 1 ครั้งจึงไม่เท่ากับ 1 cycle ซะทีเดียว

จำนวน 1 Cycle จะวัดจากปริมาณการชาร์ตไฟที่รวมๆแล้ว เท่ากับปริมาณการชาร์ตไฟจากแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ(0%) จนแบตเตอรี่มีไฟเต็ม(100%) 1 ครั้ง

เช่น ถ้าเราชาร์ตครั้งแรกจากแบตเตอรี่ 50%=>100% การชาร์ตครั้งนี้ก็จะนับเท่ากับ 0.5 cycle
(เก็ทบ่คับ??)
3. ชาร์ตอย่างไรถึงจะดี

หลาย คนคงเคยได้ยินว่าต้องชาร์ตแบตเตอรี่ครั้งแรกเท่านั้นเท่านี้ชั่วโมงแล้วจึง
จะเริ่มใช้งานได้ หรือว่าต้องหมั่นชาร์ตบ่อยๆ หรือไม่ก็ใช้ให้ไฟหมดก่อนแล้วค่อยชาร์ต
ซึ่งข้อความทั้งหมดนี้ก็มีข้อจริงและเท็จปนๆกัน
อันที่จริงแล้วสำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium (ย้ำว่าแบบ lithium เท่านั้น)
จะชาร์ตอย่างไรก็ได้ไม่มีผลต่ออายุการใช้งานครับ

ข้อมูลตรงนี้เป็นที่ยืนยันจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ(ทั้งที่อ้างอิงไว้ ข้างล่าง และที่อื่นๆ)
มีใจความตรงกันว่า การชาร์ตมาชาร์ตน้อย ชาร์ตนาน ชาร์ตถี่ ชาร์ตบ่อย
มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่น้อยมาก
ส่วนข้อความข้างต้นที่ยกมานั้นเป็นคำแนะนำสำหรับแบตเตอรี่ชนิดอื่นๆที่ไม่ ใช่ lithium ครับ

การที่แบตเตอรี่แบบ lithium จะเสื่อมจากการใช้งานนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 เงื่อนไข คือ

- เมื่อใช้งานจนถึงจำนวน Cycle ที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมเองตามปกติ
- เมื่อถึงเวลาที่แบตเตอรี่จะเสื่อมมันก็จะเรี่มเสื่อมเอง โดยเวลาที่ว่าเป็นเวลาที่นับตั้งแต่การผลิต ไม่ใช่เวลาในการใช้งาน
- การชาร์ตไฟของตัวชาร์ต (ดังที่กล่าวไปแล้วในข้อ 1)
- อุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถ้าแบตเตอรี่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงก็จะส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติได้

4. ได้ยินว่าชาร์ตไฟ 40% แบตจะอยู่ได้นานกว่าจรึงรึเปล่า??
สำหรับแบตเตอรี่แบบ lithium ถ้าชาร์ตไฟที่ 40% แล้วเก็บเอาไว้
โดยไม่ใช้งานเป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป ตัวแบตจะเสื่อมน้อยกว่าการชาร์ตไฟที่
100% แล้วเก็บไว้นาน 1 ปีขึ้นไป
แต่สำหรับแบตเตอรี่ที่ไม่ได้เก็บไว้นานเกิน 1 ปี
หรือแบตเตอรี่ที่ใช้งานตามปกติ(ไม่ได้เก็บเข้ากรุ) อัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่
ไม่ว่าจะมีไฟที่ 40% หรือ 100% นั้นแทบจะไม่ต่างกัน

สรุปว่าข้อความข้างต้นเป็นจริงเฉพาะแบตเตอรี่ lithium ที่เก็บไว้นานๆโดยไม่ใช้งานครับ
5. แล้วเวลาใช้งาน Notebook เมื่อเสียบปลั๊กแล้วควรจะถอดแบตหรือไม่
คำตอบนี้ตอบได้ทั้งควร และไม่ควรครับ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานจะเลือกแบบไหน

1. เสียบปลั๊กแล้วแต่ไม่ถอดแบตฯ
ข้อดี
- หากระบบไฟฟ้ามีปัญหา ก็จะไม่ส่งผลต่อการทำงาน และงานที่ทำในเครื่อง Notebook เปรียบเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ USP อยู่
- ขัวแบตเตอรี่จะไม่เกิดปัญหา ฝุ่นผงหรือความชื้นไปเกาะ
- มีความสะดวก สบายในการใช้งาน ไม่ต้องถอดๆใส่ๆ

ข้อเสีย
- แบตเตอรี่จะได้รับความร้อนจากตัวเครื่อง ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติเล็กน้อย

2. เสียบปลั๊กแล้วถอดแบตฯ
ข้อด
- แบตเตอรี่จะปลอดภัยต่อความร้อนที่มาจากตัวเครื่อง notebook
ข้อเสีย
- ขั้วแบตเตอรี่อาจเกิดฝุ่นผงหรือมีความขึ้นไปเกาะทำให้เกิดคราบออกไซด์ อาจส่งผลให้เกิดอาการเสียบแบตเตอรี่แล้วไฟไม่เข้าเครื่องได้
- หากระบบไฟมีปัญหา เครื่อง notebook จะดับ ทำให้งานในเครื่องเสียหาย และอาจทำให้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ในเครื่องเสียหายได้

โดยส่วนตัวผมจะแนะนำให้เสียบแบตฯทิ้งเอาไว้ครับ เพราะข้อดีมีเยอะกว่าข้อเสีย
และที่สำคัญคือ ถึงแม้การเสียบแบตฯไว้อาจจะทำให้แบตฯเสื่อมจากความร้อนได้
ต่ในความเป็นจริงแล้ว Notebook ทุกวันนี้ออกแบบมาให้ตรงส่วนที่เป็นแบตเตอรี่เป็นฉนวนความร้อนครับ
ดังนั้นความร้อนก็จะส่งไปถึงแบตเตอรี่ได้ไม่มากนัก เรียกง่ายๆว่าถ้าเครื่องมันร้อนมาก
คนใช้ Notebook จะร้อนมือก่อนที่แบตจะร้อนเสียอีกด้วยซ้ำครับ แจ่มดีใช่ไหมละ เอิ้กๆๆ
สรุปสุดท้ายด้วยคำแนะนำสั้นๆ สำหรับแบตเตอรี่ lithium ดังนี้ครับ

1. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้แบตเตอรี่จดหมดแล้วค่อยชาร์ดครับ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูง (ใช้ไฟเยอะในเวลาอันสั้น)
ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เช่น กรณีที่ต้องการใช้งานเครื่องหนักๆ(กินแบตฯเยอะๆ)
ก็ควรใช้แค่ช่วงเวลาไม่นาน และไม่ควรใช้จนแบตหมดครับ
ถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆให้หาโอกาสชาร์ตไฟเป็นระยะๆ
จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิด discharge rate ในอัตราที่สูงได้
และที่สำคัญที่สุดคือการชาร์ตบ่อยๆ จะช่วยป้องกันการลืมชาร์ตไฟ
ซึ่งถ้าหากปล่อยให้แบต lithium ไฟหมดเป็นเวลานานแบบจะเสีย
ไม่สามารถชาร์ตไฟได้อีก

2. ระลึกไว้เสมอว่าแบตฯแบบ lithium ความร้อนมีผลต่อการเสื่อมมากกว่า
รูปแบบการชาร์ตไฟครับ ดังนั้นพยายามดูแลอย่าให้แบตฯร้อน
จะได้ผลดีกว่ามัวกังวลเรื่องชาร์ดบ่อย ชาร์ตมาก ชาร์ตน้อย

3. เก็บแบตเตอรี่ไว้ในที่เย็นๆ ถ้าจำเป็นจะต้องเก็บ Notebook
ไว้ในรถที่จอดตากแดด ก็ควรถอดแบตเตอรี่แยกติดตัวออกมาครับ
จะช่วยให้แบตฯเสื่อมช้าลง

4. ถ้าจำเป็นจะต้องเป็บแบตไว้เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ใช้งาน
ให้ชาร์ตไฟไว้ที่ประมาณ 40% ของความจุ
แล้วเก็บไว้ในที่เย็นๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้

5. ไม่ควรซื้อแบตเตอร์แบบ lithium มาเก็บไว้เผื่อใช้งานครับ
เพราะแบตแบบ lithium มีอายุการเสื่อมสภาพนับจากวันผลิต(ไม่ใช่วันที่ใช้นะครับ)
ดังนั้นถ้าเก็บไว้นานโดยไม่ใช่มันก็จะเสื่อมไปเองได้ครับ และเช่นเดียวกันกับ
การเลือกซื้อแบตแบบ lithium ไม่ควรซื้อแบตฯแบบเก่าเก็บครับ
เพราะซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานแบตฯมันจะเสื่อมตามอายุของมันเองครับ

จบแล้วครับสำหรับ 5 คำถามกับคำตอบที่ถูกต้อง และ 5 คำแนะนำในการใช้แบตเตอรี่แบบ lithium ยังไงอ่านบทความชิ้นนี้แล้วช่วยบอกต่อๆ กันไปด้วยนะครับ เพราะปัจจุบันนี้มีคนเข้าใจผิดกันเยอะ และมีบทความที่เขียนกันผิดๆ แปลมาผิดๆกันเยอะครับ ส่วนเว็บท้ายบทความนี้ใช้อ้างอิงและหาข้อมูลเพิ่มเติมได้สำหรับผู้ที่ต้อง การนะครับ
ยาวหน่อยนะครับผม ต้องขอบคุณท่านเจ้าของบทความครับ (ผมไปค้นหาข้อมูลมาอีกที)
ขอบคุณบทความและภาพจาก http://technology.impaqmsn.com/techhow_list.asp


คัดลอกมาจาก

เพิ่มเติม

No comments:

Post a Comment