Monday, December 29, 2008

How to install MRTG on Ubuntu 8.10

What is MRTG ?

  • The Multi Router Traffic Grapher (MRTG) is a tool to monitor the traffic load on network links.
  • MRTG generates HTML pages containing PNG images which provide a LIVE visual representation of this traffic.
Download MRTG
  • http://people.ee.ethz.ch/~oetiker/webtools/mrtg/download.en.html
MRTG Documentation
  • http://people.ee.ethz.ch/~oetiker/webtools/mrtg/doc/index.en.html
  • http://people.ee.ethz.ch/~oetiker/webtools/mrtg/3party.en.html
Web server

1. ขาดไม่ได้เลยต้องมี Web server ของเราก่อนซึ่ง linux จะใช้เจ้า apache2 ติดตั้งโดย

$ sudo apt-get install apache2 ; sudo /etc/init.d/apache2 start

- ตรวจสอบว่ามันทำงานจริงปะ ด้วยคำสั่ง

$ netstat -na | grep ":80"

- ถ้ามันขึ้นประมาณนี้แหละมีคำว่า LISTEN ก็โอเคแหละ หรือ http://localhost แค่นี้ง่ายกว่ามั้ง ^^'

tcp 0 0 0.0.0.0:80 0.0.0.0:* LISTEN

SNMP server configuration

1.สมมุตินะ เราต้องการ monitor เครื่องตัวเอง ฉนั้นเครื่องที่จะโดน monitor ต้องเป็น SNMP Server

$ sudo apt-get install snmpd

2. คอนฟิก permission SNMP เราเพิ่มหน่อย

$ sudo vi /etc/snmp/snmpd.conf

3. คอมเม้นบรรทัดนี้ไว้ด้วยเครื่องหมาย # เพื่อความปลอดภัย

com2sec paranoid default public


4. เพิ่มบรรทัดนี้เข้าไปแทนอันที่เราคอมเม้นไว้ เืพื่อผู้ที่ใช้ public จะได้อ่านได้อย่างเดียว

com2sec readonly default public


5. ใช้การเปลี่ยนแปลงใหม่โดย

$ sudo /etc/init.d/snmpd restart

6. สุดท้ายเราต้องแน่ใจว่า SNMP พอร์ต มันไม่มีปัญหากับ Firewall อ่ะนะ

7. ทดสอบว่าเครื่องเรามันเป็น SNMP Server ยัง

$ snmpwalk localhost -c public -v1

Installation of MRTG

1. ติดตั้ง mrtg มันจะขึ้นประมาณจะชี้แจงเราให้เราสร้าง mrtg.cfg ตอนติดตั้งมันด้วย Yes ซะ ว่าไปแล้วมันก็ไม่สำคัญอ่ะ เพราะไงเราก็ต้องไปสร้างมันทีหลังอยู่ดี ^^'

$ sudo apt-get install mrtg



2. สร้างไฟล์ cfg แบบของเราเองว่าจะ monitor เครื่องใหนในที่นี้เรา monitor เครื่องเราเอง

$ sudo cfgmaker --global 'WorkDir: /var/www/mrtg' \
--output /etc/mrtg.cfg public@127.0.0.1

- ดูรายละเอียด /etc/mrtg.cfg จะมากกว่าไฟล์ mrtg.cfg ที่สร้างไว้ตอนแรกในขั้นตอนการติดตั้ง

3. สร้าง directory /var/www/mrtg ให้มันหน่อย

$ sudo mkdir /var/www/mrtg

4. จากนั้นทำการ index.htm ของ mrtg กันด้วยคำสั่ง

$ sudo indexmaker /etc/mrtg.cfg --columns=1 \
--output /var/www/mrtg/index.html


5. สั่งสร้างกราฟแหละทีนี้อ่ะ มันก็เหมือนเราสั่ง sudo /usr/bin/mrtg /etc/mrtg.cfg

$ sudo mrtg

-----------------------------------------------------------------------
ERROR: Mrtg will most likely not work properly when the environment
variable LANG is set to UTF-8. Please run mrtg in an environment
where this is not the case. Try the following command to start:

env LANG=C /usr/bin/mrtg
-----------------------------------------------------------------------
- มันบอกประมาณรันบนสิ่งแวดล้อมแบบ UTF-8 ไม่ได้อ่ะและก็บอกต่อว่าให้เรา พยายามตามคำสั่งนี้

$ sudo env LANG=C /usr/bin/mrtg

6. เสร็จแหละครับ พี่น้อง ลองดูผลงานของเราเองสิ http://localhost/mrtg/

Note
  • เมื่อบูตระบบทุกครั้งมันจะไม่รัน mrtg ให้เรานะเราต้องสร้าง scritp
  • ให้รันตอนบูตเอง ^^'โดยนำคำสั่งเนี๋ย env LANG=C mrtg ไปไว้ในสคริปของเราแต่เราต้องเป็น root
References
Related Posts

Friday, December 26, 2008

How to install openSUSE 11.1 DVD

  • ไม่ได้ลง Linux ใน visualize ซะนานแหละ เลยหามาลงเล่นๆ อ่ะนะ เห็นมัน release 11.1 พอดี ^^'
  • ติดตั้ง Desktop openSUSE 11 ด้วย แผ่น DVD 1 แผ่น แบบง่ายๆ ไม่ต้องแต่งอาไรมาก
  • เตรียมพร้อมก่อน ติดตั้งโหลดแผ่น DVD มันก่อนเลย ที่นี้เลย ชอบแบบใหนก็ตามสบายเลยแต่เราขอ DVD อ่ะ
  • Type: 32 bit
  • Installation medium: DVD
  • Download method: Standard (ftp or http)
  • Start Download Here: installation DVD

เริ่มกันเลย

1. ใส่แผ่นเข้าไปใน CD Rom ของเรา
2. เปิดเครื่อง แล้วปรับให้บูตจาก CD แล้ว restart ใหม่ รอสักแป๊ปมันก็จะขึ้น สีเขียวเต็มไปหมดเลย
3. เลือก Installation แล้ว Enter
4. เลือก Language เซงอ่ะไม่มีพี่ไทยเราเลยโฮๆๆๆ อังกฤษ ขัดดอกไปก่อน คลิก Next ซะ (Agree ด้วยนะ)
5. รอมันโหลด โหลดอาไรของมันก็ไม่รู้ ^^'
6. เลือก New Installation แล้วตามด้วย Next
7. เค้าให้เราเลือก Time Zone อ่ะ อยากอยู่ Zone ใหนก็เลือกเอาครับ ^^' แล้วก็ Next
8. เลือก Desktop เราชอบอาไรก็เลือกซะ ส่วน Other มันจะเป็น Xfce หรือ Server ประมาณนั้น แต่เราขอ KDE 4 อ่ะ ตามด้วย Next เหมือนเคย
9. ก็มาถึงขึ้นตอนที่ต้องระวังกันนิดหน่อย คือ การสร้าง Partition ให้ SUSE ขอเป็น Partition Based อ่ะ คือ มันจะสร้าง root (/), Swap, home (/home) ให้เราเลย ง่ายๆ ไม่ต้องเก่ง linux ก็ติดตั้ง linux ได้ แต่ถ้าเราคิดว่าเราแน่ เราก็จัดการเองได้ ก็คลิก Edit Partition Setup... มันก็จะขึ้นให้เราจัดการแบบ Manual ส่วนเราขอผ่าน
10. กรอก ชื่อ-นามสกุล แล้วก็ user และ password และ คลิก Next
11. โหลดอีกแหละ จะอาไรกันนักหนา ล่ะเนี๋ย - -'
12. Installation Settings ไม่ต้องทำไรหรอกมั้ง Next เลยดีกว่า ^^'
13. Confirm หน่อย
14. รอเค้าเตรียม Hard Disk ก่อน
15. มันเริ่มติดตั้งแล้วอ่ะ แค่นี้อ่ะ การติดตั้ง openSUSE 11.1 รอมันเสร็จก็รีบูตเข้าใช้ได้เลย


จัดการพาร์ทิชั่น(แบบลูกทุ่ง)
  1. Swap ควรต้องมากกว่า RAM เท่าหนึ่ง เช่น RAM 128 ตั้ง Swap ควรจะเป็น 512 มิฉะนั้นตอนบูตระบบอาจค้าง กิ๊กก๊อกไปเลยก็ได้
  2. /home ไม่จำเป็นต้องสร้างก็ได้มั้ง (ที่ว่าไม่จำเป็นเนื่องจากตัวเองใช้ drive D ร่วมไว้เก็บข้อมูลอ่ะนะ)
  3. ถ้าเราสร้างแบบ manual เราควรสร้าง Swap ก่อน แล้วค่อยสร้าง / โดยใช้พื้นที่ที่เหลือทั้งหมดเลย

ประสบการณ์

  • สมมุติ windows เราแบ่งพาร์ทิชั่นเป็น C, D ซึ่ง drive C เอาไว้ลงระบบ drive D เอาไว้เก็บข้อมูล
  • ถ้าเทียบกับ linux ก็คงจะประมาณ แบ่งเป็น / เอาไว้ลงระบบ และ /home เอาไว้เก็บข้อมูล เมื่อต้องการลง linux ใหม่ก็ format เฉพาะ / ประมาณนี้นะคิดว่า
  • อย่าลืมกันไว้สำหรับ swap ด้วยล่ะพวกแรมน้อยอย่างเราๆ เนี๋ย
  • แต่ที่แบ่งเองประจำก็แบ่ง / กับ swap พอเลย ส่วนเก็บข้อมูลก็ drive D ใช้ร่วมกับ windows ไง ^^'
  • ส่วนเรื่อง Primary กับ Extend ก็ไม่ต่างกันกับ windows ครับ ดูเพิ่มเติมจากอ้างอิง
  • OpenSUSE from Slackware

เพิ่มเติม

อ้างอิง

Wednesday, December 24, 2008

Mobile net with nokia in Ubuntu 8.10

# ต่อเน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ Nokia ใน Intrepid-Ibex

# OS: Intrepid-Ibex (Ubuntu 8.10)

# Nokia 6120 Classic, USB Cable

# Thailand , AIS

# Hardy มันค่อนข้างยุ่งเพราะ ไม่เคยใช้ interface จัดการแต่ Intrepid เนี๋ยของเค้าแก้ให้แหละ

1. ต่อมือถือกับ PC หรือ Notebook เราด้วย USB Cable เลือกที่โทรสัพท์เป็น PC Suite



2. คลิกขวาที่ Interface (จอดำสองจอซ้อนกันอยู่ ที่มุมขวาบน) => Edit Connections...



3. คลิกที่แท๊ป Mobile Boardband => Add



4. มันก็จะขึ้นหน้าจอ wizard มาหน้าแรก welcome เราก็ Forward ก่อนเลย



5. ค่า Country เริ่มแรกมันจะเลือก Thailand ให้เราเลยอ่ะ แค่เราเลือก เครือข่ายเท่านั้น จากนั้น Forward



6. ตั้งชื่อให้ Connection นี้ของเรา ตามด้วย Apply



7. แค่นี้ก็เตรียมการเสร็จแหละ



8. ทีนี้ให้เราคลิก ซ้ายที่ Interface เราจะเห็น คำว่า AIS ที่เราได้ตั้งไว้ในขั้นตอนที่ 6 คลิกซ้ายที่มันอีกที



9. มันก็จะทำการ connect ถ้าต่อเน็ตเสร็จมันก็จะเห็น Interface เปลี่ยนรูปเป็นประมาณเสาอากาศ

10. ถ้าต้องการ disconnect ก็คลิกซ้ายที่ Interface => Disconnect แค่เนี๋ยมันก็จาตัดให้เรา

# ง่ายมากๆ เพิ่มเติมการตั้งค่าหมายเลข mobile net ที่

Network Connections => Mobile Boardband => AIS => Edit



# ที่ช่อง Number: *99# เราสามารถเปลี่ยนเป็น *99***1# ได้นะ

# รู้สึกว่ามันจะไม่หลุดบ่อยนะถ้าเป็น *99***1#

# ของ AIS สมัคร Mobile เน็ตก็ *138 ฟังแล้วก็เลือก Package

# ดู Balance ของ mobile net ก็ *139# ค่ายอื่นมะรู้ มะเคยใช้

# 6120 Classic เห็นมันมี video call ด้วยอ่ะ แต่ไมตอนนี้ยังใช้ 3G ไม่ได้อ่ะ

# ใช้ EDGE นานแหละรู้สึกว่ามันจะช้าขึ้นทุกวันยังไงก็ไม่รุ้

# ขยายให้มันทั่วๆ กันหน่อยท่าน อาไรอาไรก็ siam ... ที่อื่นไม่สำคัญเลยใช่มั้ยเนี๋ย

Tuesday, December 23, 2008

Remove virtualbox 2.0.6 and install 2.1

How to remove virtualbox 2.0.6 in intrepid.

# copy follow command to terminal for remove virtualbox 2.0.6

$ sudo aptitude remove virtualbox-2.0

# if previous version is virtualbox ose

$ sudo aptitude remove virtualbox-ose


How to install virtualbox 2.1.0 in intrepid

1. download .deb from http://www.virtualbox.org/wiki/Linux_Downloads

2. remove previous version

3. my pc use this file and double click it

virtualbox-2.1_2.1.0-41146_Ubuntu_intrepid_i386.deb

# if haven't problem it show about this and click Install Package



# and config dialog show to your desktop click Forward button and wait...

# installation finished



# icon virtualbox 2.1.0 you can see in Application => System Tools

# if you don't see icon virtualbox it that path , just logout and re-login

# configuration bridge interface same windows ^^'



# More info ubuntugeek.com

Reason for upgrade to VirtualBox 2.1.0

เหตุผลที่ต้องอัพเกรด virtualbox เป็น 2.1 จาก 2.0.6 สำหรับเรานะ

# ก็เคยเล่าเกี่ยวกับ virtualbox (vb) ว่ามันมีความสามารถ เกือบเทียบเท่า vmware แล้วนะ

# แต่เสียอย่างเดียวการที่จะทำให้เครื่อง vos เป็นส่วนหนึ่งของ lan มันค่อนข้างยุ่งยาก

# เวอร์ชั่น 2.0.6-- ส่วนของ interface มันจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ NAT และ Host Intereface

# ถ้าเราเลือกแบบ NAT มันจะเล่นได้แต่ จะไม่พบเครื่อง vos ใน LAN

# และ เครื่อง parent กัน vos ก็ ping กันไม่เจอนะ เพราะ ไรก็ไม่รู้ไม่ค่อยมีความรู้เหมือนกัน

# แต่ถ้าเลือก Host Interface และ สร้าง Interface เพิ่มทำการแชร์ Internet ให้ interface ที่เราสร้าง

# ก็จะทำให้ vos เล่นเน็ต และ ping กับ parent host เจอแต่มันก็ไม่เป็นส่วนหนึ่งของ LAN อยู่ดี

# เสริมหน่อย ถ้าเป็น vmware มันต้องเลือกแบบ bridge มันจะทำให้ vos เป็นเครื่องๆ หนึ่งในวง LAN

# ถึงตอนนี้ยังคอนฟิก Bridge ให้ vb มะเป็นเลย ^^' ขี้เกียจมากๆ เจออยู่นะแต่อ่าน ภาษาต่างปะเทศมะรู้เรื่อง

# เห็นในเว็บหลายเว็บมีลิ้งบอกประมาณ vb เค้าออกเวอร์ชั่นใหม่ ต่อจาก 2.0.6 คือ 2.1.0

# ตอนแรกว่าจะไม่ ติดตั้งไอ้เวอร์ชั่น 2.1 แล้วแต่อยากรุ้ว่ามันมีอาไรดีขึ้นบ้างหรือป่าว

# คือ ก็หวังเล็กๆ นะว่าปัญหาของเราอาจจะหมดไปกับ 2.1

# ไม่น่าเชื่อครับ ลองเข้าไปที่ setting ของ vb ที่ Network เมื่อเราเลือกเป็น Host Interface ที่ Attached:

# ปกติตรง Host Interfaces เราต้องสร้าง Interface เองนะ แต่ไง๋มันเอา interface บนเครื่องจริงมาให้แสดง

# ตอนแรก งงนะ แต่พอลองเลือกแบบ Host Interface และลองรัน vos ดูมันเล่นเน็ตได้ และ เป็นเครื่องส่วนหนึ่งของวงแลนด์ด้วยอ่ะ ^^'



# และปุ่มด้านขวา Add/Remove Interfce ก็หายไปด้วยง่ะ

# พอลองเลือกเป็น ethernet ตัวที่ไม่ใช่ wi-fi แล้วลองเปิด vos ตกใจหมดเลยมันได้ ip จาก dhcp ของ LAN ด้วยอ่ะ พอลอง ping ไปที่เครื่องอื่นในวงแลนด์ โอ้แม่เจ้ามัน reply ไม่เสียด้วยล่ะ ^^'

# อีกนิดนะ คือ เราต้องเลือก interface ที่กำลังต่อ LAN อยู่อ่ะ ถ้าเราเลือกเป็น interface ของ wi-fi แต่เราไม่ได้ใช้มัน เวลาเปิด vos มันก็ไม่ได้ไอพี และ มันก็จะเป็น stand alone นะ

# สรุป เลือก interface ที่กำลัง active อยู่แค่นี้เองครับ

# พอลอง ping จาก parent host ที่เครื่องอื่นๆ ใน LAN มาที่ vos มัน reply ด้วยล่ะ ^^'

# ปัญหาที่แก้ไม่ได้เรื่อง bridge ก็ไม่ต้องแหละ ขอแค่นี้ล่ะที่ต้องการ

# แต่ไม่แน่ใจไอ้ที่สำหรับลงบน linux มันจะใช้ได้เหมือนกันมั้ยหว่า ต้องลอง

# เสริมนิดคือ อย่าลืมติ๊กเลือกที่ Cable Connected ด้วยนะไม่งั้นเลือก interface แบบใหนมันจะเหมือน stand alone นะขอบอก ^^' ถ้าเราลืมก็ไม่ต้องปิด vos แล้วตั้งค่าหรอกครับแค่ active adapter มันหน่อย



# อันนี้สุดท้ายจริงๆ การออกจาก vos ให้เรากดที่ Ctrl ปุ่มขวานะครับ (ctrl+alt เหมือน vmware มันจาไม่ออกให้เด้อขอบอก)

# เปรียบเทียบ interface ระหว่าง vmware กับ virtualbox

NAT = NAT

Private Host = Host Interface (2.06--) คิดว่านะ

Bridge = Host Interface (2.1.0++) คิดว่านะ

# ส่วน Interface แบบ Internal Network ใน VirtualBox ไม่รู้ว่าใช้ไงหว่า ^^' โง่ครับ

# ที่เขียนมาโมเมเอาครับ อ่าน Help ของโปรแกรมน่าจะดีกว่า ^^' แต่เรามะค่อยรู้เรื่องเลยมีแต่ภาษาบ้านเกิดทั้งนั้น

Tip & Trick Switching mode

# ใน vb ก็ไม่ต่างกับ vmware มากอ่ะครับ เรื่องความสามารถเนี๋ย

# เราสามารถตั้งโหมดให้ guest os เราเป็นแบบ full screen mode โดยเข้าไปคลิกที่เมนู

Machine => Fullscreen Mode หรือ (Host + F)

# จะออกจาก full mode ก็อันเดิม อ้าวแล้ว menu bar หายไปใหนหว่าแล้วตูจาคลิกที่ใหนหว่ากำ - -'

# ใช้ shortcut สิครับ Host + F แล้วไอ้ตัว Host นี่ปุ่มใหนหว่า

# Host มันจะเท่ากับ Right Ctrl

# Ctrl ปุ่มขวา + F สำหรับสลับ mode

# Ctrl ปุ่มขวา + Home มันจะแสดง popup เมนูให้


# แค่นี้ก็อยากเขียนเป็น log น้อเรา ^^'


Saturday, December 20, 2008

First time launch Open Arena

# Open Arena is game for test graphic card it very fun for me



# Could not find fight or skirmish button for play open arena at launch first time.

# When u open game open arena is first time after install it.

# You won't see button for play game (fight ,skirmish, reset, back).



# cause from screen resolution of game

# first time when u open it you must config resolution game by enter

Setup => System => Graphics => Video Mode : 1024 x768



# And accept it if you can't see accept button move mouse to about right bottom of screen accept at about here.

# and re-open it you will find button for play game

# Note: upgrade to newver version by getdeb.net ^^'

Friday, December 19, 2008

Install and config cacti in Intrepid Ibex

# cacti คือ เจ้าตัวด้านล่างเนี๋ยอ่ะ ^^' http://www.cacti.net/ อ่านเอง



# ติดตั้ง cacti บน ubuntu 8.10

# บทความหน้าๆ อาจจาเป็นการใช้งานพื้นฐานก็ได้ไม่แน่ถ้าไม่ขี้เกียจนะ

1.> ติดตั้ง LAMP ก่อนเลยด้วยคำสั่ง ประมาณเนี่ย

$ sudo aptitude install apache2 libapache2-mod-auth-mysql mysql-server php5 libapache2-mod-php5 php5-mysql

# ขั้นตอนติดตั้ง LAMP มันจาให้เราตั้งรหัสสำหรับ root mysql ด้วยนะ กรอกอาไรไปจำไว้ด้วยล่ะ

# หลังจากติดตั้ง LAMP แหละก็ start service มันซะหน่อยล่ะ

$ sudo /etc/init.d/apache2 start ;sudo /etc/init.d/mysql start

2.> เพิ่มอีกตัวอันนี้น่าจะเป็น library เกี่ยวกับการวาด graphic

$ sudo apt-get install php5-gd

3.> ที่นี้มาถึง cacti เราซะที ก่อนอื่นขอบ่นไรอย่างหน่อย ใน ubuntu เวอร์ชั่นไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สักกี่เวอร์ชั่นนะ จำได้ได้ว่า cacti ยังไม่มีใน repository นะ้ต้องลงเอง depence package และ config เอง ยุ่งมากๆ แต่ intrepid ดีหน่อย apt-get ตัวเดียวเห็นมันติดตั้งให้หมดนะ ไอ้ที่เกี่ยวข้องกับมันอ่ะ

$ sudo apt-get install cacti-cactid

# จากคำสั่งนี้ เห็นมันติดตั้ง rrd-tool ให้เลยอ่ะ และ ก็เหมือนจาโหลด snmp library ของ php เพิ่มนะ และก็คล้ายๆ จาโหลด snmpd มาด้วยนะ แต่พอลองลองเข้าไปที่ /etc/snmp กดแท๊ปให้ตายมันก็ยังไม่มี folder เกี่ยวกับ snmp สรุปเลยมันยังไม่ได้ติดตั้ง snmpd ให้เราแน่เลยคิดว่านะ ^^' เดาเอา มั่วไปเรื่อย มันคงลงเฉพาะ snmp client สำหรับ walk อ่ะคิดว่านะ สงสัย cacti เอาไว้ get ค่าจาก host อื่นมั้ง

# walk อย่างเดียวชัวร์

# ส่วน cacti ที่ apt-get มา มัน version ล่าสุด เลยนะ ของเค้าสดจริงๆ

# เมื่อเราทำการติดตั้ง cacti-cactid มันจะขึ้นหน้าให้เราคอนฟิกประมาณนี้นะคิดว่าถ้าเป็น Intrepid



# อันแรกไม่มีไร คลิก Ok ซะ



# เลือก web server ในขั้นตอนการติดตั้ง LAMP เราติดตั้ง Apache2 (เปลี่ยน focus กด Tab) Ok ซะ



# ส่วนเนี๋ยไม่รู้ เพราะยังอ่อนภาษา และที่สำคัญมีที่เดียวให้คลิก ก็คลิก Ok ซะ



# ส่วนไอ้ dbconfig-common เนี๋ยไม่รู้จริงมันเอาไว้ทำไร และตามเคยไม่รู้เรื่องก็ Yes เลย ^^'



# อันเนี๋ยมันถามรหัสผ่านของ administrative เราก็ใส่รหัส root ของ mysql เลย



# หลังจากกรอกรหัส root แล้วต่อมามันคงไปสร้าง user สำหรับ cacti มันเลยถามว่าจะตั้งรหัสสำหรับ user ของ cacti ว่าอาไร เราก็ใส่ซะ อาไรก็แล้วแต่เรา



# ยืนยันรหัสผ่านสำหรับ user cacti อีกรอบอันที่เราใส่เมื่อตะกี๋อ่ะ จำได้ปะ ^^'

4.> ทีนี้มาดูผลงานกันเข้าไปที่ http://localhost/cacti/



# อ่านหรือไม่อ่านก็ต้อง Next ครับพี่น้อง



# มันถามประมาณว่า เป็นการติดตั้งใหม่หรือว่าอัพเกรด New Install ซิครับแล้วก็ Next



# อันนี้มันคงจะบอกเราว่าพาธแต่ละตัวอยู่ที่ใหนกันมั่ง ถ้าไม่มีปัญหาอาไร มันก็จะ Ok หมดนะ คลิก Finish ได้เลย



# กรอก user name และ password เป็น admin



# ทีนี้มันจะให้เราเปลี่ยนรหัสจาก admin เป็น อันอื่นเรื่องของ secure อ่ะนะก็เปลี่ยนให้มันซะ



# มันก็จะได้หน้าประมาณนี้อ่ะ แค่นี้อ่ะ cacti เราก็พร้อมแหละ คิดว่านะ

# แต่ใน ubuntugeek.com มันให้ตรวจสอบ Spine Poller File Path เป็น “/usr/sbin/spine” หรือยัง



# โดยคลิกที่ Settings แล้วคลิกที่แท๊ป Paths เราจะพบ Spine Poller File Path ด้านล่างสุด



# หลังจากนั้นคลิกที่ Poller ที่ Poller type เปลี่ยนจาก cmd.php เป็น spine แล้ว Save ซะ

# cacti เราพร้อมแล้ว รอประมาณ 15 นาที ค่อยคลิกที่ Graph ที่อยู่ข้างๆ Console ก็จะมีกราฟพื้นฐานมาให้เรา

# เช่น CPU Load, Memory Use, User Log ประมาณนั้น

# ส่วนการตั้งให้ Get ค่า Stat ของ Interface (in/out) อาจจะเขียนในบทความหน้าอ่ะนะ ^^'

# อีกนิดหนึ่งนะเห็นในการติดตั้ง cacti บน FC5 เค้าบอกว่าไฟล์ คอนฟิกที่เก็บค่า user และ password สำหรับ db ของ cacti มันจะอยู่ที่นี้ครับ /usr/share/cacti/include/config.php

VirtualBox - Error NS_ERROR_FAILURE (0x80004005)

  • # คือเรื่องมีอยู่ว่า สร้าง virtual os ผ่าน virtual box บน XP
  • # แต่เอา virtual os ตัวนั้นมารันบน linux ^^'
  • ครั้งก่อนยังรันได้เลย แต่ครั้งนี้ไมเป็นงี้หว่า งง ไม่แน่ใจว่าเป็นกับ interface ที่ได้ทำการเปลี่ยนบน windows ปะ คือไปเปลี่ยนจาก NAT ให้เป็นแบบ Host เพราะแบบ NAT เจ้า vos (virtual operating system) มันใช้เน็ตได้แต่ เครื่องที่รันมันกับมัน มองมะเห็นกันอ่ะ - -'
  • คือ ถ้าเราเปลี่ยนเป็นแบบ Host มันจะให้สร้าง interface ก่อนแล้วเราก็ตามไป set static ไอพีให้มันทั้ง parent (เครื่องที่ทำการรัน virtual os) และ interface ใน vos มันก็จะเห็นกันแต่ vos มันจะเล่นเน็ตมะได้ ที่เครื่อง parent ต้องแชร์ internet ผ่าน interface ที่สร้างขึ้นมาด้วย แค่นี้ก็ทำให้ vos เราเล่นเน็ต และ ping กะ parent host เจอ ^^'
  • สรุป ทำ bridge ไม่เป็น เลยต้องใช้วิธีบ้านๆ นี้แหละข้อเสียอย่างหนึ่งของ virtual box มันทำ bridge ค่อนข้างยุ่งนิดหน่อย แต่คนฉลาด(น้อย) อย่างเรามันทำมะเป็นอ่ะดิ
  • พอสร้าง new ใน virtual box เสร็จ browse หา disk vos ที่สร้างไว้ใน windows drive และทำการ Start มัน แง๋วมันดันขึ้นงี้หว่า
Result Code: NS_ERROR_FAILURE (0x80004005) Componnent: Machine Interface: IMachine {1e509de4-d96c-4f44-8b94-860194f710ac}
  • แล้วก็ขึ้นอันนี้ต่อ
  • ดีนะที่มันแนะนำว่าต้องทำไงคือ มันให้เรา คอมไพล์ kernel ของ vb อีกรอบด้วยคำสั่ง
sudo /etc/init.d/vboxdrv setup
  • พอทำตามที่ error มันบอกก็ฉลุย อ่ะ Start vos ได้ครับ

Popular Posts